ไข้หวัดใหญ่ 68 ระบาดหนัก! เช็คอาการ-กลุ่มเสี่ยง-วิธีป้องกัน

สารบัญ

สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญด้านสาธารณสุขที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในปี 2568 ซึ่งมีแนวโน้มการระบาดที่รุนแรงกว่าปีก่อนๆ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรค กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง และมาตรการป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชนทุกคน

ภาพรวมสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ปี 2568

ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขได้ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของการระบาดในปีนี้ ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างและสร้างความกังวลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ การตระหนักถึงสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญ

  • การระบาดรุนแรง: ปี 2568 พบจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงการแพร่กระจายของเชื้อที่รวดเร็วและกว้างขวาง
  • กลุ่มเสี่ยงต้องเฝ้าระวัง: มี 7 กลุ่มประชากรหลักที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนสูง ซึ่งรวมถึงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
  • วัคซีนคือการป้องกันที่ดีที่สุด: การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการเสียชีวิต
  • มาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคล: การล้างมือบ่อยๆ และการสวมหน้ากากอนามัยยังคงเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญในการตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อ

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2568 ในประเทศไทย

ไข้หวัดใหญ่ 68 ระบาดหนัก! เช็คอาการ-กลุ่มเสี่ยง-วิธีป้องกัน กลายเป็นประเด็นสำคัญที่กรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุขออกมาแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง หลังจากพบว่าสถานการณ์ในปีนี้มีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่ติดต่อผ่านทางระบบทางเดินหายใจ ทำให้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในชุมชน โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงเรียน สถานที่ทำงาน หรือระบบขนส่งสาธารณะ ความรุนแรงของโรคมีตั้งแต่ระดับน้อยไปจนถึงรุนแรงจนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตได้

การระบาดของไข้หวัดใหญ่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ความรุนแรงจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่ระบาดและระดับภูมิคุ้มกันของประชากร สำหรับปี 2568 ข้อมูลทางระบาดวิทยาบ่งชี้ว่าเป็นการระบาดที่มีความรุนแรงสูง ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างเข้มข้น เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ

สถิติผู้ป่วยและผลกระทบ

ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรคของกระทรวงสาธารณสุขเผยให้เห็นภาพที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยในช่วง 14 สัปดาห์แรกของปี 2568 ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมสูงถึง 280,000 ราย ตัวเลขนี้สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาเป็นจำนวนถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการระบาดในวงกว้างและรวดเร็ว นอกจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องจำนวน 35 ราย ซึ่งตอกย้ำถึงความรุนแรงของโรคในปีนี้

ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านสุขภาพของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยจำนวนมากทำให้สถานพยาบาลต้องรับภาระหนักขึ้น ทั้งในแง่ของบุคลากรทางการแพทย์ เตียงผู้ป่วย และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นในการรักษา การระบาดยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่ประชาชนต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัวหรือดูแลสมาชิกในครอบครัวที่เจ็บป่วย

ช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

ตามปกติแล้ว ฤดูกาลระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนต่อเนื่องไปจนถึงช่วงฤดูหนาว เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นและชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อไวรัส กรมควบคุมโรคได้ออกมาเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องถึงต้นฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่คาดการณ์ว่าอัตราการติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้นสูงสุด

ในช่วงเวลาดังกล่าว ประชาชนมักใช้เวลาอยู่ภายในอาคารมากขึ้น ทำให้มีโอกาสใกล้ชิดและสัมผัสกับผู้ป่วยได้ง่าย การระบายอากาศที่ไม่ดีพอในพื้นที่ปิดยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดในช่วงเวลานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เจาะลึกอาการไข้หวัดใหญ่: สัญญาณเตือนที่ต้องรู้

การแยกแยะอาการของไข้หวัดใหญ่ออกจากไข้หวัดธรรมดาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถประเมินความรุนแรงและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ไข้หวัดใหญ่มักมีอาการที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

อาการหลักที่พบบ่อย

อาการของไข้หวัดใหญ่มักปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1-4 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการที่เป็นลักษณะเด่นและพบบ่อย ได้แก่:

  • ไข้สูงฉับพลัน: ผู้ป่วยมักมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย: เป็นอาการที่เด่นชัดมาก ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูกทั่วร่างกายอย่างรุนแรง
  • ปวดศีรษะ: อาการปวดศีรษะมักมีความรุนแรงและอาจปวดบริเวณกระบอกตาร่วมด้วย
  • อ่อนเพลียอย่างรุนแรง: ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง จนอาจไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
  • ไอแห้งและเจ็บคอ: อาการไอมักเป็นลักษณะไอแห้งๆ และอาจมีอาการเจ็บคอ ระคายคอร่วมด้วย
  • อาการอื่นๆ: อาจมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล แต่โดยทั่วไปจะไม่เด่นชัดเท่าไข้หวัดธรรมดา ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้

เปรียบเทียบไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดา

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบอาการระหว่างสองโรคนี้จะช่วยให้สามารถสังเกตความผิดปกติเบื้องต้นได้ดีขึ้น

ตารางเปรียบเทียบอาการระหว่างไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา เพื่อช่วยในการสังเกตและประเมินอาการเบื้องต้น
ลักษณะอาการ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold)
การเริ่มต้นของอาการ เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรวดเร็ว ค่อยเป็นค่อยไป
ไข้ ไข้สูง (38-40°C) เป็นเรื่องปกติ มีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้
อาการปวดเมื่อย รุนแรงและเป็นอาการเด่น ปวดเมื่อยเล็กน้อย
อาการอ่อนเพลีย อ่อนเพลียมากและรุนแรง อ่อนเพลียเล็กน้อย
อาการทางจมูก อาจมีคัดจมูก น้ำมูกไหล แต่ไม่เด่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เป็นอาการหลัก
อาการไอ ไอแห้งๆ และรุนแรง ไอปานกลาง อาจมีเสมหะ
ภาวะแทรกซ้อน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม พบได้น้อยมาก

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

สิ่งที่ทำให้ไข้หวัดใหญ่มีความน่ากลัวมากกว่าไข้หวัดธรรมดาคือโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและเป็นอันตราย ได้แก่:

  • โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่โดยตรง หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  • การกำเริบของโรคประจำตัว: ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน อาจมีอาการของโรคประจำตัวที่แย่ลงอย่างรุนแรงหลังติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
  • การติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย: เช่น การติดเชื้อในหูชั้นกลาง (Otitis media), การติดเชื้อในโพรงไซนัส (Sinusitis), หรือการติดเชื้อในสมอง (Encephalitis) ซึ่งพบได้ไม่บ่อยแต่มีความรุนแรงสูง

การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและรีบพบแพทย์หากมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือมีไข้สูงไม่ลดลง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

กลุ่มเสี่ยงสูงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

กลุ่มเสี่ยงสูงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

แม้ว่าทุกคนจะสามารถติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ แต่มีประชากรบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงกว่าคนทั่วไป การระบุและให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของมาตรการป้องกันและควบคุมโรค

ทำไมบางกลุ่มจึงมีความเสี่ยงสูงกว่า?

ปัจจัยที่ทำให้บุคคลบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือการมีโรคประจำตัวที่ทำให้อาการของไข้หวัดใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ในผู้สูงอายุ ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมถอยตามวัย ส่วนในเด็กเล็ก ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ขณะที่ผู้มีโรคเรื้อรัง ร่างกายจะอยู่ในภาวะที่อ่อนแออยู่แล้ว ทำให้เมื่อติดเชื้อจึงมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงได้ง่าย

7 กลุ่มเสี่ยงหลักตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข

เพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุก กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนด 7 กลุ่มเสี่ยงหลักที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นลำดับแรก ได้แก่:

  1. หญิงตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและระบบภูมิคุ้มกันระหว่างตั้งครรภ์ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์
  2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี: เป็นกลุ่มที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ง่าย
  3. ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค: ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หอบหืด, หัวใจ, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับยาเคมีบำบัด และเบาหวาน
  4. บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป: ระบบภูมิคุ้มกันที่ถดถอยตามวัย ทำให้ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สูงที่สุดกลุ่มหนึ่ง
  5. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าคนปกติ
  6. โรคอ้วน: ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจที่รุนแรง
  7. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้: กลุ่มนี้มักมีปัญหาในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลและอาจมีภาวะสำลักได้ง่าย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคปอดบวม

เกราะป้องกันที่ดีที่สุด: วัคซีนและมาตรการสุขอนามัย

ท่ามกลางการระบาดที่รุนแรง การป้องกันนับเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด การผสมผสานระหว่างการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนและการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัคซีนไข้หวัดใหญ่: เครื่องมือสำคัญในการป้องกัน

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงมีการแนะนำสายพันธุ์ของไวรัสที่คาดว่าจะระบาดในแต่ละปี เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนสามารถผลิตวัคซีนที่ตรงกับสายพันธุ์นั้นๆ ได้ ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงมีความจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกปี

ประโยชน์หลักของวัคซีนไม่ใช่แค่การป้องกันการติดเชื้อเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าคือการลดความรุนแรงของโรค ลดโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง

สิทธิการรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้าถึงการป้องกันโรคได้ง่ายขึ้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรีสำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น โดยกำหนดช่วงเวลาให้บริการดังนี้:

  • ระยะเวลา: ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568
  • สถานที่: สามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ

ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อสอบถามรายละเอียดและนัดหมายเข้ารับการฉีดวัคซีนตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ทันต่อช่วงเวลาการระบาดของโรค

แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม กรมควบคุมโรคได้แนะนำมาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ ดังนี้:

  • ปิด: ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอหรือจาม โดยใช้กระดาษทิชชู่หรือต้นแขนด้านใน และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยหรือต้องเข้าไปในที่ชุมชน
  • ล้าง: ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
  • เลี่ยง: หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัด และหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • หยุด: เมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน และพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น

นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็เป็นพื้นฐานสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรค

บทเรียนจากต่างประเทศและแนวทางการรับมือ

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ในช่วงต้นปี 2568 ประเทศญี่ปุ่นได้เผชิญกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อย่างรุนแรงเช่นกัน กรณีศึกษาจากญี่ปุ่นได้ให้บทเรียนที่สำคัญหลายประการ การระบาดขนาดใหญ่ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งเต็มไปด้วยผู้ป่วย และเกิดภาวะขาดแคลนยารักษาที่จำเป็น เช่น ยาต้านไวรัส

บทเรียนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า การพึ่งพาระบบสาธารณสุขเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการรับมือกับการระบาดใหญ่ การป้องกันในระดับบุคคลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การที่ประชาชนแต่ละคนดูแลตนเองและปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน จะช่วยชะลอการแพร่กระจายของเชื้อ และลดภาระของระบบสาธารณสุขโดยรวม ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถให้การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้อย่างเต็มที่

สรุปและแนวทางการปฏิบัติตัว

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 นับเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง การรับมือกับการระบาดจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักรู้และไม่ประมาท ประชาชนทุกคนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรค โดยเฉพาะความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์และไปพบแพทย์ได้อย่างเหมาะสม สำหรับประชาชนที่จัดอยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยง การเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรีตามที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ ถือเป็นมาตรการป้องกันเชิงรุกที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต

ท้ายที่สุด การปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัย และการรักษาระยะห่าง ยังคงเป็นแนวทางปฏิบัติพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่เฉพาะไข้หวัดใหญ่ แต่ยังรวมถึงโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่นๆ ด้วย การดูแลป้องกันตนเองไม่เพียงแต่จะช่วยให้ปลอดภัยจากโรค แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อ และทำให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การระบาดนี้ไปได้อย่างปลอดภัย