ระวัง! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ระบาดหนัก รีบฉีดวัคซีน

สารบัญ

สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่มีแนวโน้มการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ในระดับสูง ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งการฉีดวัคซีนยังคงเป็นมาตรการหลักที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ภาพรวมสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ปี 2568

ในปี 2568 มีการคาดการณ์และเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่อย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลบ่งชี้ว่า ระวัง! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ระบาดหนัก รีบฉีดวัคซีน ถือเป็นประเด็นด้านสาธารณสุขที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายในวงกว้าง โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องถึงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศเอื้อต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ กรมควบคุมโรคได้ออกมาเตือนให้ประชาชนและกลุ่มเสี่ยงตระหนักถึงความรุนแรงและเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดที่อาจเกิดขึ้น

ความสำคัญของการเฝ้าระวังในปีนี้เกิดจากลักษณะการหมุนเวียนของสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ทำให้ภูมิคุ้มกันที่เคยมีอาจไม่สามารถป้องกันเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B อาการของโรค และวิธีการป้องกันที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย ลดความรุนแรงของโรค และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

ทำความเข้าใจ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B”

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นหนึ่งในสามสายพันธุ์หลักของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ก่อโรคในมนุษย์ (อีกสองสายพันธุ์คือ A และ C) แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อสายพันธุ์ B มักมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A และไม่ก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ระดับโลก (Pandemic) แต่ก็สามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงและก่อให้เกิดการระบาดตามฤดูกาลได้เป็นวงกว้างเช่นกัน

ลักษณะเฉพาะของเชื้อไวรัส

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีลักษณะพิเศษคือมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในอัตราที่ช้ากว่าสายพันธุ์ A และมี宿主 (Host) เฉพาะในมนุษย์เป็นหลัก ไม่พบการติดเชื้อในสัตว์เหมือนสายพันธุ์ A ที่สามารถพบได้ในนกหรือสุกร ด้วยเหตุนี้ เชื้อสายพันธุ์ B จึงไม่ก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ข้ามสายพันธุ์ แต่ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยในแต่ละปีทั่วโลก

สายพันธุ์ย่อย Yamagata และ Victoria

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ย่อย (Lineages) ที่สำคัญ ได้แก่ สายพันธุ์ยามากาตะ (Yamagata) และสายพันธุ์วิกตอเรีย (Victoria) ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยนี้สามารถหมุนเวียนและก่อให้เกิดการระบาดได้พร้อมกันหรือสลับกันในแต่ละฤดูกาล การที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบันพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งสองสายพันธุ์ย่อยนี้ จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent vaccine) ที่ถูกแนะนำให้ใช้ในปัจจุบัน

ช่องทางการแพร่กระจายเชื้อ

การแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วผ่านช่องทางหลักดังนี้:

  • การสัมผัสละอองฝอยโดยตรง (Droplet Transmission): เชื้อไวรัสจะปะปนอยู่ในละอองฝอยขนาดเล็กที่ออกมาจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยผ่านการไอ จาม หรือพูดคุย หากบุคคลอื่นสูดหายใจเอาละอองฝอยเหล่านี้เข้าไป ก็สามารถติดเชื้อได้ทันที
  • การสัมผัสทางอ้อม (Indirect Contact): เมื่อผู้ป่วยใช้มือปิดปากหรือจมูกขณะไอหรือจาม แล้วไปสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โทรศัพท์ หรือของใช้ส่วนตัว เชื้อไวรัสจะปนเปื้อนอยู่บนพื้นผิวนั้นๆ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายชั่วโมง เมื่อผู้อื่นมาสัมผัสวัตถุเหล่านั้นแล้วนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก หรือปาก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

ด้วยเหตุนี้ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือบ่อยๆ และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ

อาการและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่

การทราบถึงอาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแยกโรคจากไข้หวัดธรรมดาและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะหากมีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายในเวลาที่กำหนด

สัญญาณเตือนและอาการที่พบบ่อย

อาการของไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและมีความรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา อาการที่พบบ่อยได้แก่:

  • ไข้สูงเฉียบพลัน: มักมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง: เป็นลักษณะเด่นของไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะบริเวณหลัง แขน และขา
  • ปวดศีรษะ: อาการปวดศีรษะมักมีความรุนแรง
  • อ่อนเพลียอย่างมาก: รู้สึกอ่อนแรงและเหนื่อยล้าจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ: เช่น ไอแห้ง เจ็บคอ มีน้ำมูก หรือคัดจมูก

ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B

แม้ว่าอาการโดยรวมจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างบางประการระหว่างการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B ซึ่งสามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างเบื้องต้นระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B
คุณลักษณะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B
ความรุนแรงของอาการ มักมีความรุนแรงสูงกว่า มีความรุนแรงน้อยกว่าถึงปานกลาง
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว (Antigenic Drift and Shift) เปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า (Antigenic Drift)
ศักยภาพการระบาดใหญ่ สามารถก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) ก่อให้เกิดการระบาดตามฤดูกาล (Epidemic) เท่านั้น
โฮสต์ (Host) มนุษย์, นก, สุกร และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ พบในมนุษย์เป็นหลัก

ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง

แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากไข้หวัดใหญ่ได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในบางราย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้ เช่น:

  • โรคปอดอักเสบ (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ: เช่น หลอดลมอักเสบ (Bronchitis), ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) และหูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media)
  • ทำให้อาการของโรคประจำตัวกำเริบ: ผู้ป่วยโรคหอบหืด, โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน อาจมีอาการของโรคประจำตัวที่แย่ลง
  • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท: เช่น สมองอักเสบ (Encephalitis) ซึ่งพบได้น้อยแต่มีความรุนแรงสูง

หากมีอาการไข้สูงไม่ลดลงภายใน 48 ชั่วโมง หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือมีอาการซึมลง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

เกราะป้องกันสำคัญ: ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

เกราะป้องกันสำคัญ: ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ท่ามกลางความเสี่ยงของการระบาด การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นเครื่องมือป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การได้รับวัคซีนไม่เพียงแต่ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ แต่ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้อีกด้วย

ประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

ในปัจจุบัน วัคซีนที่แนะนำให้ฉีดคือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent Influenza Vaccine) ซึ่งให้การป้องกันที่ครอบคลุมมากกว่าวัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ (Trivalent) ในอดีต โดยวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์จะประกอบด้วยเชื้อไวรัส 4 สายพันธุ์ที่คาดการณ์ว่าจะระบาดในปีนั้นๆ ได้แก่:

  • ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1)
  • ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2)
  • ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Victoria lineage)
  • ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Yamagata lineage)

การที่วัคซีนครอบคลุมสายพันธุ์ B ทั้งสองสายพันธุ์ย่อย ทำให้สามารถป้องกันการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ในปี 2568 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดภาระทางสาธารณสุขและป้องกันการเจ็บป่วยในประชากรได้อย่างกว้างขวาง

กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว

แม้ว่าการฉีดวัคซีนจะแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นลำดับแรกๆ ได้แก่:

  1. เด็กเล็ก: โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่
  2. ผู้สูงอายุ: ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มเสื่อมถอย
  3. สตรีมีครรภ์: การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์
  4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง: เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), โรคหอบหืด, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคเบาหวาน, และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  5. บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลผู้ป่วย: เพื่อป้องกันตนเองและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้ป่วย

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน

เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฉีดวัคซีนในประเทศไทยคือช่วงก่อนฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม) หรือก่อนฤดูหนาว (ประมาณเดือนตุลาคม) ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการระบาดสูง อย่างไรก็ตาม สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปีหากยังไม่เคยได้รับวัคซีนในปีนั้นๆ

แนวทางปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสในการรับและแพร่กระจายเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้

สุขอนามัยส่วนบุคคล

  • ล้างมือบ่อยๆ: ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 70% โดยเฉพาะหลังการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: พยายามไม่ใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณตา จมูก และปาก ซึ่งเป็นช่องทางที่เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
  • สวมหน้ากากอนามัย: การสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องเข้าไปในสถานที่แออัดหรือเมื่อมีอาการป่วย จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของละอองฝอยได้

การป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • รักษาระยะห่าง: พยายามเว้นระยะห่างจากผู้ที่มีอาการป่วย เช่น ไอ หรือจาม
  • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัว
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นการทานผัก ผลไม้ และอาหารที่ครบ 5 หมู่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย
  • เมื่อป่วยควรหยุดพัก: หากมีอาการป่วย ควรหยุดเรียนหรือหยุดงานและพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

สรุปและคำแนะนำ

การระบาดของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ในปี 2568 เป็นสถานการณ์ที่ต้องให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แม้ว่าอาการอาจไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A แต่ก็สามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการเข้ารับ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อไวรัสที่คาดว่าจะระบาดได้อย่างครอบคลุม

นอกจากการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนแล้ว การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ เช่น การล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัย และการรักษาระยะห่าง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขจะช่วยให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาการระบาดไปได้อย่างปลอดภัย

คำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA): อย่ารอให้การเจ็บป่วยมาขัดขวางการใช้ชีวิต การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ ขอแนะนำให้ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์และเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับตนเองและคนที่รักจากภัยของโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้