มะเร็งเต้านมในผู้ชาย: ความจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
มะเร็งเต้านมมักถูกเชื่อมโยงกับสุขภาพของผู้หญิงเป็นหลัก ทำให้หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายได้เช่นกัน แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่การขาดความตระหนักรู้ส่งผลให้การวินิจฉัยล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง บทความนี้จะนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ **มะเร็งเต้านมในผู้ชาย: ความจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน** เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และความสำคัญของการตรวจคัดกรองสำหรับสุขภาพผู้ชายโดยรวม
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมในผู้ชาย
- มะเร็งเต้านมในผู้ชายเป็นโรคที่พบได้น้อย คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.5-1% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด
- ผู้ชายมักถูกวินิจฉัยในระยะลุกลาม เนื่องจากขาดความตระหนักรู้และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจเต้านมตนเอง
- อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต ได้แก่ ก้อนแข็งในเต้านม, การเปลี่ยนแปลงของหัวนม เช่น หัวนมบุ๋มหรือมีของเหลวไหล, และผื่นหรือแผลเรื้อรังบริเวณหัวนม
- ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคืออายุที่มากขึ้น (โดยเฉพาะหลัง 60 ปี) และประวัติครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม
- การตรวจคัดกรอง เช่น ดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อกล่าวถึง “มะเร็งเต้านม” ภาพจำของคนส่วนใหญ่มักเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง **มะเร็งเต้านมในผู้ชาย** คือภาวะทางการแพทย์ที่มีอยู่จริงและมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่าสถิติจะชี้ว่าพบได้น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้หญิง แต่ความจริงที่น่ากังวลคือ ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะถูกวินิจฉัยเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่ลุกลามไปแล้ว เหตุผลหลักมาจากการขาดความตระหนักรู้ ทั้งในหมู่ประชาชนทั่วไปและในตัวผู้ชายเอง ซึ่งมักไม่คิดว่าตนเองมีความเสี่ยงและมองข้ามสัญญาณเตือนต่างๆ ของร่างกายไป การทำความเข้าใจโรคนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสถิติ แต่เป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพและชีวิตของผู้ชายทุกคน
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมในเพศชาย โดยจะเจาะลึกถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง อาการที่ควรสังเกต กระบวนการวินิจฉัย และแนวทางการรักษา ข้อมูลเหล่านี้จำเป็นสำหรับผู้ชายทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือผู้สูงอายุ การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้ผู้ชายหันมาใส่ใจสุขภาพเต้านมของตนเองมากขึ้น สามารถสังเกตความผิดปกติได้เร็วขึ้น และนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความเข้าใจผิดและความจริงของมะเร็งเต้านมในผู้ชาย
ความเชื่อที่ว่ามะเร็งเต้านมเป็นโรคของผู้หญิงโดยเฉพาะ ได้สร้างกำแพงที่มองไม่เห็นขึ้นมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดูแลสุขภาพของผู้ชาย การทลายกำแพงความเชื่อนี้เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐานเกี่ยวกับโรคนี้ในบริบทของผู้ชาย
สถิติและความชุกของโรคที่ถูกมองข้าม
ในเชิงสถิติ มะเร็งเต้านมในผู้ชายถือเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก (Rare Disease) โดยคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 0.5% ถึง 1% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด หรืออาจกล่าวได้ว่า ในจำนวนผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม 100 คน จะพบผู้ชายป่วยด้วยโรคเดียวกันนี้ประมาณ 1 คน ตัวเลขนี้ทำให้โรคดังกล่าวถูกมองข้ามไปในวงกว้าง ทั้งในแง่ของการรณรงค์ให้ความรู้และการวิจัยทางการแพทย์
อย่างไรก็ตาม แม้จะพบได้น้อย แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามอายุ โดยผู้ชายที่ป่วยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป การตระหนักถึงกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงสูงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การเฝ้าระวังและการสื่อสารด้านสุขภาพเป็นไปอย่างตรงจุด
สาเหตุที่การวินิจฉัยในผู้ชายมักล่าช้า
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของมะเร็งเต้านมในผู้ชายคือ การวินิจฉัยที่ล่าช้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความรุนแรงของโรคและอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้หญิง ปรากฏการณ์นี้เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน:
- การขาดความตระหนักรู้: ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองสามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้ จึงไม่เคยตรวจเต้านมของตนเอง หรือเมื่อพบความผิดปกติก็อาจไม่ได้นึกถึงโรคร้ายนี้
- การมองข้ามอาการ: อาการเริ่มต้น เช่น การมีก้อนเนื้อเล็กๆ หรือการเปลี่ยนแปลงที่หัวนม อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงการอักเสบของต่อมไขมัน ซีสต์ หรือการบาดเจ็บเล็กน้อย ทำให้ปล่อยทิ้งไว้จนอาการลุกลาม
- ความอับอายหรือความลังเล: ผู้ชายบางคนอาจรู้สึกอายที่จะไปพบแพทย์ด้วยปัญหาเกี่ยวกับเต้านม ซึ่งถูกมองว่าเป็นอวัยวะของผู้หญิง ความรู้สึกนี้อาจทำให้การตัดสินใจไปพบแพทย์ล่าช้าออกไป
- เนื้อเยื่อเต้านมน้อย: เนื่องจากผู้ชายมีเนื้อเยื่อเต้านมน้อยกว่าผู้หญิง ทำให้เซลล์มะเร็งสามารถแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น กล้ามเนื้อหน้าอกหรือต่อมน้ำเหลือง ได้รวดเร็วกว่า
“การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมในผู้ชายที่ล่าช้ามักนำไปสู่การตรวจพบโรคในระยะที่ลุกลามแล้ว ซึ่งทำให้กระบวนการรักษามีความซับซ้อนและลดโอกาสในการตอบสนองต่อการรักษาที่ดี”
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ชายเข้าใจว่าตนเองก็มีความเสี่ยง และการส่งเสริมให้หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเอง จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้กับโรคนี้
สัญญาณเตือนและอาการที่ต้องสังเกต
การรู้จักสัญญาณเตือนของมะเร็งเต้านมในผู้ชายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ คือปัจจัยชี้ขาดที่เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ อาการในผู้ชายมีความคล้ายคลึงกับในผู้หญิง แต่เนื่องจากความแตกต่างทางกายภาพบางอย่าง อาจมีลักษณะที่สังเกตได้ง่ายกว่าหากให้ความใส่ใจ
การเปลี่ยนแปลงที่เต้านมและหัวนม
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณเต้านมและหัวนมเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด อาการที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่:
- หัวนมบุ๋มหรือหดตัว (Nipple Retraction): หัวนมที่เคยปกติเกิดการยุบตัวหรือบุ๋มลงไปในเต้านม ซึ่งอาจเกิดจากก้อนเนื้อที่ดึงรั้งเนื้อเยื่อภายใน
- มีของเหลวไหลออกจากหัวนม (Nipple Discharge): การมีของเหลวที่อาจเป็นน้ำใสๆ หรือมีเลือดปน ไหลออกมาจากหัวนมโดยที่ไม่ได้ถูกบีบหรือกระตุ้น ถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวล
- ผื่น แผล หรือผิวหนังที่เปลี่ยนแปลงบริเวณหัวนม: การเกิดผื่นแดง ตกสะเก็ด หรือแผลเรื้อรังที่ไม่หายขาดบริเวณหัวนมหรือลานนม อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Paget’s disease of the nipple
- ผิวหนังเต้านมเปลี่ยนแปลง: ผิวหนังบริเวณเต้านมอาจมีลักษณะคล้ายผิวส้ม (peau d’orange) คือมีลักษณะขรุขระและมีรูบุ๋ม หรืออาจมีสีแดง บวม และอุ่นกว่าปกติ
ลักษณะของก้อนเนื้อที่น่าสงสัย
อาการที่พบบ่อยที่สุดของมะเร็งเต้านมในผู้ชายคือการคลำพบก้อนเนื้อในเต้านม ซึ่งมักจะอยู่บริเวณใต้หัวนมหรือรอบๆ ลานนม ลักษณะของก้อนเนื้อที่น่าสงสัยและควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม มีดังนี้:
- เป็นก้อนแข็ง: ก้อนเนื้อจากมะเร็งมักจะมีลักษณะแข็ง ไม่นิ่มเหมือนก้อนไขมันทั่วไป
- ไม่เจ็บ: ในระยะแรก ก้อนเนื้อมะเร็งส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัสหรือกด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนชะล่าใจ
- ขอบเขตไม่ชัดเจนและยึดติดกับเนื้อเยื่อ: ก้อนเนื้ออาจให้ความรู้สึกว่ายึดติดแน่นกับผิวหนังหรือกล้ามเนื้อข้างใต้ ไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนที่ได้ง่าย
เพื่อช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สามารถเปรียบเทียบลักษณะอาการที่อาจบ่งชี้มะเร็งกับภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งได้ดังตารางต่อไปนี้
อาการ (Symptom) | ลักษณะที่อาจบ่งชี้มะเร็ง (Possible Cancer Indication) | ลักษณะที่อาจเป็นภาวะอื่น (Possible Benign Indication) |
---|---|---|
ก้อนในเต้านม | ก้อนแข็ง ไม่เจ็บ ขอบเขตไม่ชัดเจน ยึดติดแน่น | ก้อนนิ่ม เคลื่อนที่ได้ อาจเจ็บ (เช่น ถุงน้ำ, ภาวะเต้านมโตในผู้ชาย) |
การเปลี่ยนแปลงที่หัวนม | หัวนมบุ๋มลง, มีของเหลวปนเลือดไหลซึม | การระคายเคืองผิวหนังทั่วไป, การอุดตันของท่อน้ำนม |
ผิวหนังบริเวณเต้านม | ผิวหนังหนาขึ้น, แดง, ร้อน, ลักษณะคล้ายผิวส้ม | ผื่นผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) หรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง |
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากพบความผิดปกติใดๆ ตามที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ บริเวณเต้านม ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด ไม่ควรสันนิษฐานเอาเองว่าเป็นภาวะที่ไม่ร้ายแรง
ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของการเกิดโรค
แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งเต้านมในผู้ชายจะยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดและมีการศึกษาน้อยกว่าในผู้หญิง แต่ปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างมีความคล้ายคลึงกัน การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ชายสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเองและเฝ้าระวังได้อย่างเหมาะสม
ปัจจัยทางพันธุกรรมและประวัติครอบครัว
ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ผู้ชายที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรง (พ่อ แม่ พี่น้อง หรือบุตร) ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม (ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง) จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม เช่น BRCA1 และ BRCA2 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี แม้ว่าการกลายพันธุ์ของยีน BRCA2 จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในผู้ชายมากกว่า BRCA1 ก็ตาม
ปัจจัยด้านอายุและฮอร์โมน
ความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมในผู้ชายเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยพบมากที่สุดในกลุ่มผู้ชายที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายก็มีบทบาทสำคัญ ภาวะใดๆ ก็ตามที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) สูงขึ้นเมื่อเทียบกับแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้ เช่น:
- โรคอ้วน: เซลล์ไขมันสามารถเปลี่ยนฮอร์โมนแอนโดรเจนเป็นเอสโตรเจน ทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายสูงขึ้น
- โรคตับแข็ง: ตับทำหน้าที่ควบคุมระดับฮอร์โมน เมื่อตับทำงานผิดปกติอาจทำให้ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น
- กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ (Klinefelter Syndrome): เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่ผู้ชายมีโครโมโซม X เกินมาหนึ่งตัว (XXY) ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชายได้น้อยลงและมีระดับเอสโตรเจนสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากปัจจัยหลักข้างต้น ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย ได้แก่:
- การเคยได้รับการฉายรังสีบริเวณหน้าอก: ผู้ที่เคยได้รับการรักษาด้วยรังสีบริเวณหน้าอก เช่น การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
- ภาวะเต้านมโตในผู้ชาย (Gynecomastia): แม้ว่าภาวะนี้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่การมีเนื้อเยื่อเต้านมที่เจริญเติบโตผิดปกติอาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- โรคเกี่ยวกับอัณฑะ: ภาวะอัณฑะไม่เคลื่อนลงถุง (Undescended Testicle) หรือการเคยเป็นโรคคางทูมที่ส่งผลต่ออัณฑะ อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและเพิ่มความเสี่ยงได้
กระบวนการตรวจวินิจฉัยและการรักษา
เมื่อพบสัญญาณหรืออาการที่น่าสงสัย การเข้าสู่กระบวนการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์โดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมะเร็งเต้านมในผู้ชายมักถูกตรวจพบในระยะลุกลาม การวินิจฉัยที่แม่นยำและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต
การตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง
แม้จะไม่มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการให้ผู้ชายทุกคนต้องตรวจเต้านมตนเองเป็นประจำเหมือนในผู้หญิง แต่สำหรับผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวที่ชัดเจน การหมั่นสังเกตและคลำเต้านมของตนเองเดือนละครั้งอาจเป็นประโยชน์ เพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพปกติของเต้านมและสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติได้ทันที
วิธีการวินิจฉัยทางการแพทย์
กระบวนการวินิจฉัยโดยแพทย์มักจะเริ่มต้นจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด หากแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งเต้านม จะมีการตรวจเพิ่มเติมดังนี้:
- ดิจิทัลแมมโมแกรม (Digital Mammogram): เป็นการเอกซเรย์เต้านมด้วยรังสีปริมาณต่ำเพื่อหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อ แม้ผู้ชายจะมีเนื้อเต้านมน้อย แต่การทำแมมโมแกรมยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแยกแยะก้อนเนื้อ
- อัลตราซาวนด์ (Ultrasound): ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพของเนื้อเยื่อภายในเต้านม วิธีนี้ช่วยในการแยกแยะว่าก้อนที่พบเป็นก้อนเนื้อตัน (Solid Mass) ซึ่งน่าสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง หรือเป็นถุงน้ำ (Cyst) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย
- การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจ (Biopsy): เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและเป็นวิธีเดียวที่สามารถยืนยันการวินิจฉัยมะเร็งได้ แพทย์จะนำตัวอย่างชิ้นเนื้อจากก้อนที่น่าสงสัยไปตรวจทางพยาธิวิทยาในห้องปฏิบัติการเพื่อหาเซลล์มะเร็ง
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน
เนื่องจากมะเร็งเต้านมในผู้ชายมักถูกวินิจฉัยในระยะที่ลุกลาม การรักษาจึงอาจมีความซับซ้อนและต้องใช้วิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกัน (Multimodality Treatment) แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และลักษณะทางชีวภาพของเซลล์มะเร็ง
- การผ่าตัด (Surgery): โดยทั่วไปมักเป็นการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (Mastectomy) เนื่องจากผู้ชายมีเนื้อเต้านมน้อย ทำให้การผ่าตัดแบบสงวนเต้านมทำได้ยาก นอกจากนี้อาจมีการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้เพื่อตรวจดูการแพร่กระจายของโรค
- รังสีรักษา (Radiation Therapy): เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่มะเร็งมีขนาดใหญ่หรือมีการแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง
- ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นการใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย มักใช้ก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดก้อนเนื้อ หรือหลังการผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจแพร่กระจายไปส่วนอื่นแล้ว
- การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormone Therapy): มะเร็งเต้านมในผู้ชายส่วนใหญ่มักมีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ER-positive) การใช้ยาเพื่อยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรค
- การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): หากเซลล์มะเร็งมีการแสดงออกของโปรตีนบางชนิดที่ผิดปกติ เช่น HER2 อาจมีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งนั้นๆ
บทสรุป และการส่งเสริมสุขภาพผู้ชาย
มะเร็งเต้านมในผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นความจริงทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการใส่ใจ แม้จะเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่ผลกระทบจากความล่าช้าในการวินิจฉัยนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง การขาดความตระหนักรู้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ชายจำนวนมากต้องเผชิญกับโรคในระยะลุกลาม ซึ่งลดทอนโอกาสในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ชายทุกคนมีความเสี่ยง และความเสี่ยงนั้นเพิ่มขึ้นตามอายุและปัจจัยทางพันธุกรรม การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนต่างๆ เช่น ก้อนแข็งในเต้านม การเปลี่ยนแปลงของหัวนม หรือผิวหนังที่ผิดปกติ เป็นทักษะการดูแลสุขภาพพื้นฐานที่ผู้ชายทุกคนควรเรียนรู้ การทำลายกำแพงความเชื่อที่ผิดและความอับอายในการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาบริเวณเต้านม คือก้าวแรกที่สำคัญในการปกป้องชีวิต
ดังนั้น การส่งเสริม สุขภาพผู้ชาย อย่างรอบด้านจึงต้องรวมถึงการให้ความรู้เรื่องมะเร็งเต้านมด้วย การหมั่นสำรวจร่างกายตนเองและไม่ลังเลที่จะพบแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ คือพฤติกรรมที่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์จากโรคร้ายให้กลายเป็นโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพต่อไปได้ การตระหนักรู้คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้กับโรคนี้