ช็อก! ฝุ่น PM2.5 ทำลายสมองคนรุ่นใหม่
สถานการณ์มลพิษทางอากาศได้กลายเป็นวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ข้อมูลล่าสุดจากงานวิจัยในประเทศไทยได้เปิดเผยความจริงอันน่าตกใจว่า ช็อก! ฝุ่น PM2.5 ทำลายสมองคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงภัยคุกคามต่อระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์สมอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร บทความนี้จะสำรวจลึกลงไปในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงฝุ่น PM2.5 กับสุขภาพสมอง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายที่มองไม่เห็นนี้
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา
- ฝุ่น PM2.5 สามารถเดินทางเข้าสู่สมองได้โดยตรงผ่านทางกระแสเลือดและเส้นประสาทการรับกลิ่น ก่อให้เกิดภาวะอักเสบซึ่งเป็นรากฐานของโรคทางระบบประสาทหลายชนิด
- การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในวัยเด็กและวัยรุ่นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพัฒนาการของสมอง อาจนำไปสู่ระดับสติปัญญา (IQ) ที่ลดลง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมาธิสั้น (ADHD) และออทิสติก
- ในผู้ใหญ่ การได้รับฝุ่น PM2.5 ในปริมาณสูงและต่อเนื่องมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ถึง 3 เท่า และโรคพาร์กินสัน 34%
- นอกเหนือจากโรคทางกายภาพแล้ว ฝุ่น PM2.5 ยังเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ผ่านกลไกการอักเสบในสมอง
- วิกฤตฝุ่นพิษนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อศักยภาพทางสติปัญญาและสุขภาพสมองของประชากรในระยะยาว
บทนำ: ภัยเงียบที่โจมตีระบบประสาท
มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นสาเหตุสำคัญของโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่น่ากังวลระหว่างการสัมผัส PM2.5 กับการเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประชากรในเขตเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและมีกิจกรรมทางอุตสาหกรรมสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับมลพิษในระดับความเข้มข้นสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่สมองยังคงมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง การได้รับสารพิษที่สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองได้โดยตรงจึงอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงและยาวนานต่อความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ และการทำงานของสมองโดยรวม ความเข้าใจในกลไกและผลกระทบของ PM2.5 ต่อสมองจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและปกป้องสุขภาพของประชากรในอนาคต
ทำความเข้าใจ PM2.5 และเส้นทางสู่สมอง
เพื่อที่จะเข้าใจถึงความรุนแรงของปัญหานี้ จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้จักกับตัวการสำคัญ นั่นคือฝุ่น PM2.5 และกลไกที่มันใช้ในการเดินทางจากอากาศภายนอกเข้าสู่เนื้อเยื่อสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาที่สุดในร่างกาย
นิยามของฝุ่นพิษขนาดเล็ก
PM2.5 คืออนุภาคของแข็งหรือหยดของเหลวที่ลอยอยู่ในอากาศซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ด้วยขนาดที่เล็กมากนี้ (เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ประมาณ 30 เท่า) ทำให้มันสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานและเดินทางไปได้ไกล แหล่งกำเนิดของ PM2.5 นั้นหลากหลาย ตั้งแต่การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซลในยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง ไปจนถึงควันบุหรี่และกระบวนการทางธรรมชาติบางอย่าง สิ่งที่ทำให้อนุภาคเหล่านี้อันตรายเป็นพิเศษไม่ใช่แค่ขนาด แต่ยังเป็นองค์ประกอบทางเคมีที่เคลือบบนผิวของมัน ซึ่งอาจรวมถึงโลหะหนัก สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย และสารพิษอื่น ๆ ที่สามารถทำปฏิกิริยาและสร้างความเสียหายต่อเซลล์ในร่างกายได้
กลไกการแทรกซึมเข้าสู่ระบบประสาท
สมองของมนุษย์มีกลไกป้องกันที่เรียกว่า “ปราการเลือด-สมอง” (Blood-Brain Barrier) ซึ่งทำหน้าที่คัดกรองสารเคมีและเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่เนื้อเยื่อสมองโดยง่าย แต่ด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วของ PM2.5 ทำให้มันสามารถเล็ดลอดผ่านปราการป้องกันนี้ไปได้ผ่านสองเส้นทางหลัก:
- การเดินทางผ่านกระแสเลือด: เมื่อหายใจเอาฝุ่น PM2.5 เข้าไป อนุภาคเหล่านี้จะเดินทางลึกเข้าไปในปอดจนถึงถุงลม ซึ่งเป็นที่ที่ออกซิเจนแลกเปลี่ยนเข้าสู่กระแสเลือด PM2.5 สามารถแทรกซึมผ่านผนังถุงลมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตและเดินทางไปทั่วร่างกาย รวมถึงสมอง เมื่อไปถึงสมอง มันสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ปราการเลือด-สมอง ทำให้ปราการนี้อ่อนแอลงและอนุญาตให้สารพิษอื่น ๆ ผ่านเข้าไปได้ง่ายขึ้น
- การเดินทางผ่านเส้นประสาทรับกลิ่น: นี่คือเส้นทางที่น่ากังวลที่สุดและเป็นเส้นทางลัดโดยตรงสู่สมอง เมื่อหายใจเข้าไป อนุภาค PM2.5 บางส่วนจะไปจับกับเซลล์ประสาทรับกลิ่นที่อยู่ส่วนบนของโพรงจมูก จากนั้นอนุภาคเหล่านี้สามารถเดินทางย้อนตามแนวเส้นประสาท (Axonal Transport) เข้าสู่สมองส่วนหน้าได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านระบบไหลเวียนโลหิตหรือปราการเลือด-สมองเลยแม้แต่น้อย วิธีนี้ทำให้สารพิษเข้าโจมตีเซลล์สมองได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
เมื่ออนุภาค PM2.5 เข้าไปในสมองได้แล้ว มันจะกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันของสมองที่เรียกว่า “ไมโครเกลีย” (Microglia) ให้ทำงาน ซึ่งนำไปสู่การหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบ (Inflammatory Cytokines) การอักเสบในระยะสั้นเป็นกระบวนการปกติของร่างกายเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม แต่การสัมผัส PM2.5 อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิด “ภาวะอักเสบเรื้อรังในระบบประสาท” (Chronic Neuroinflammation) ซึ่งเป็นต้นตอของความเสียหายต่อเซลล์ประสาทและการเสื่อมของสมองในระยะยาว
ผลกระทบโดยตรงต่อสมองของเด็กและคนรุ่นใหม่
สมองของมนุษย์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงอยู่ในครรภ์ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น การสัมผัสกับสารพิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) อย่าง PM2.5 ในช่วงเวลาสำคัญนี้จึงก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงและอาจไม่สามารถแก้ไขได้
การยับยั้งพัฒนาการทางระบบประสาท
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ชัดว่าการที่มารดาสัมผัสกับมลพิษทางอากาศในระดับสูงระหว่างตั้งครรภ์มีความเชื่อมโยงกับความผิดปกติของพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ หลังคลอด เด็กที่เติบโตในพื้นที่ที่มี PM2.5 สูงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อภาวะต่าง ๆ เช่น
- ระดับสติปัญญา (IQ) ลดลง: การอักเสบเรื้อรังรบกวนการสร้างและการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และความจำ
- พัฒนาการล่าช้า: เด็กอาจมีพัฒนาการด้านภาษา การเคลื่อนไหว และทักษะทางสังคมช้ากว่าเกณฑ์ปกติ
- ความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้น (ADHD) และออทิสติก: มีหลักฐานชี้ว่าการอักเสบในสมองที่เกิดจากมลพิษอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคเหล่านี้ในเด็กที่มีความเปราะบางทางพันธุกรรม
สมองที่กำลังพัฒนาของเด็กมีความเปราะบางต่อสารพิษมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากปราการเลือด-สมองยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ และกระบวนการสร้างโครงข่ายประสาทมีความอ่อนไหวต่อการรบกวนอย่างมาก
การลดลงของเนื้อสมองสีขาว (White Matter)
เนื้อสมองสีขาวคือส่วนของสมองที่ประกอบด้วยใยประสาท (Axons) ซึ่งถูกหุ้มด้วยปลอกไมอีลิน (Myelin Sheath) ทำหน้าที่เป็นเหมือน “สายเคเบิล” ที่ส่งสัญญาณประสาทระหว่างสมองส่วนต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ความสมบูรณ์ของเนื้อสมองสีขาวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน
งานวิจัยที่ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพสมอง (Neuroimaging) พบว่ากลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีระดับ PM2.5 สูงเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่จะมีปริมาณเนื้อสมองสีขาวลดลง และโครงสร้างของเนื้อเยื่อมีความสมบูรณ์น้อยกว่าคนในพื้นที่อากาศสะอาด การลดลงของเนื้อสมองสีขาวนี้อาจอธิบายถึงปัญหาด้านความจำ สมาธิ และความเร็วในการคิดที่ลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องพึ่งพาศักยภาพทางสมองในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
ความเชื่อมโยงกับโรคทางสมองในวัยผู้ใหญ่
ผลกระทบของ PM2.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวัยเด็ก แต่ยังคงสะสมและส่งผลเสียต่อไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเพิ่มความเสี่ยงของโรคความเสื่อมทางระบบประสาทที่น่ากลัวหลายชนิด
ภาวะอักเสบเรื้อรัง: ต้นตอแห่งความเสื่อม
ดังที่กล่าวไปข้างต้น กลไกหลักที่ PM2.5 ทำลายสมองคือการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ในระยะยาว ภาวะนี้จะนำไปสู่ความเสียหายของเซลล์ประสาทอย่างต่อเนื่อง เซลล์ไมโครเกลียที่ถูกกระตุ้นตลอดเวลาจะเริ่มทำลายเซลล์ประสาทที่ดีไปด้วย นอกจากนี้ การอักเสบยังส่งเสริมให้เกิดภาวะ “เครียดออกซิเดชัน” (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสภาวะที่อนุมูลอิสระทำลายส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ เช่น โปรตีน ไขมัน และ DNA กระบวนการทั้งสองนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเกิดโรคสมองเสื่อม
เพิ่มความเสี่ยงอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
หลักฐานทางระบาดวิทยาที่น่าตกใจได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างมลพิษทางอากาศกับโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุดสองชนิด:
- โรคอัลไซเมอร์: งานวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่อาศัยในพื้นที่ที่มีระดับ PM2.5 สูง มีความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่อาศัยในพื้นที่อากาศดี การอักเสบที่เกิดจาก PM2.5 ถูกสันนิษฐานว่าเร่งการสะสมของโปรตีน “เบต้า-อะไมลอยด์” (Beta-amyloid) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรคอัลไซเมอร์ในสมอง
- โรคพาร์กินสัน: การศึกษาพบว่าการสัมผัส PM2.5 ในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงของโรคพาร์กินสันขึ้น 34% เชื่อว่าอนุภาคฝุ่นพิษอาจทำลายเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่ผลิตสาร “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย การสูญเสียเซลล์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า และแข็งเกร็งในผู้ป่วยพาร์กินสัน
ภัยคุกคามต่อระบบหลอดเลือดสมอง
นอกจากจะทำลายเซลล์ประสาทโดยตรงแล้ว PM2.5 ยังเป็นอันตรายต่อระบบหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอีกด้วย อนุภาคฝุ่นสามารถทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบและเสียหาย (Endothelial Dysfunction) ส่งเสริมการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และเพิ่มแนวโน้มการเกิดลิ่มเลือด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของ “โรคหลอดเลือดสมอง” (Stroke) หรือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้
ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสภาวะทางอารมณ์
สุขภาพสมองไม่ได้หมายถึงแค่การทำงานด้านสติปัญญา แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิตและอารมณ์ด้วย ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 อย่างมีนัยสำคัญ
ความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
การศึกษาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พบความเชื่อมโยงระหว่างการอาศัยอยู่ในพื้นที่มลพิษสูงกับอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลที่สูงขึ้น กลไกที่อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์นี้ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ทฤษฎีชั้นนำชี้ไปที่บทบาทของการอักเสบในระบบประสาทอีกครั้ง การอักเสบสามารถรบกวนการทำงานของสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เช่น เซโรโทนินและโดพามีน นอกจากนี้ การอักเสบยังอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ เช่น ฮิปโปแคมปัสและอะมิกดาลา ทำให้บุคคลมีความเปราะบางต่อความเครียดและมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการทางจิตเวชได้ง่ายขึ้น ปัญหานี้จึงตอกย้ำว่ามลพิษทางอากาศไม่ได้ส่งผลเสียแค่ร่างกาย แต่ยังบั่นทอนสุขภาวะทางจิตใจของคนในสังคมเมืองอีกด้วย
ช่วงวัย | ผลกระทบหลักต่อสมอง | ความเสี่ยงของโรคและภาวะที่เกี่ยวข้อง |
---|---|---|
ทารกในครรภ์และเด็กเล็ก | รบกวนการสร้างและการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท ทำลายโครงสร้างสมองที่กำลังพัฒนา | พัฒนาการล่าช้า, IQ ต่ำกว่าเกณฑ์, เพิ่มความเสี่ยงออทิสติกและสมาธิสั้น (ADHD) |
วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ | ลดปริมาณเนื้อสมองสีขาว (White Matter), ส่งผลต่อความเร็วในการประมวลผลข้อมูล | ปัญหาด้านความจำและการเรียนรู้, สมาธิลดลง, การตัดสินใจบกพร่อง |
วัยผู้ใหญ่ | กระตุ้นภาวะอักเสบเรื้อรัง, ทำลายหลอดเลือดสมอง, ส่งผลต่อสารสื่อประสาท | เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), ภาวะซึมเศร้า, และความวิตกกังวล |
วัยสูงอายุ | เร่งกระบวนการเสื่อมของเซลล์ประสาท, ส่งเสริมการสะสมของโปรตีนพิษในสมอง | เพิ่มความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสันอย่างมีนัยสำคัญ |
แนวทางการป้องกันและลดความเสี่ยง
แม้ว่าการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในระดับมหภาคจะต้องอาศัยนโยบายจากภาครัฐ แต่ในระดับบุคคลก็มีมาตรการที่สามารถทำได้เพื่อลดการสัมผัสและลดความเสี่ยงต่อสุขภาพสมอง การตระหนักรู้และลงมือปฏิบัติเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการปกป้องตนเองและครอบครัวจากภัยเงียบนี้ การตรวจสอบคุณภาพอากาศเป็นประจำผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถวางแผนกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม ในวันที่ค่า PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน หากมีความจำเป็นต้องออกไปข้างนอก การสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน N95 หรือเทียบเท่าจะสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการใช้ชีวิตในอาคาร การลงทุนในเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นภายในบ้านและที่ทำงานได้อย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในอาคาร การปิดหน้าต่างให้สนิทในวันที่มีมลพิษสูงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันไม่ให้ฝุ่นจากภายนอกเข้ามาสะสม นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เช่น การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในที่ที่อากาศสะอาด ก็อาจช่วยเสริมสร้างความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดออกซิเดชันที่เกิดจากมลพิษได้
บทสรุป: ความท้าทายที่ไม่ควรมองข้าม
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่า ช็อก! ฝุ่น PM2.5 ทำลายสมองคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง แต่เป็นความจริงอันน่ากังวลที่กำลังเกิดขึ้น ภัยคุกคามนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ระบบทางเดินหายใจ แต่ยังแทรกซึมลึกเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมการทำงานทั้งหมดของร่างกาย ตั้งแต่การขัดขวางพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ไปจนถึงการเร่งให้เกิดโรคสมองเสื่อมในผู้ใหญ่ และบั่นทอนสุขภาพจิตของคนทุกเพศทุกวัย
วิกฤตการณ์นี้เรียกร้องให้เกิดการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งในระดับนโยบายเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอย่างจริงจัง และในระดับบุคคลเพื่อสร้างความตระหนักรู้และหาวิธีป้องกันตนเอง การปกป้องสมองจากมลพิษทางอากาศคือการลงทุนเพื่ออนาคตของสังคม เพื่อรักษาไว้ซึ่งศักยภาพทางสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และสุขภาวะที่ดีของประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศที่เราหายใจเข้าไปในทุกขณะ เพราะทุกลมหายใจที่ปนเปื้อน อาจหมายถึงเซลล์สมองที่กำลังถูกทำลายลงอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว