“`html

ภาพวาด AI คว้าชัยศิลปกรรมแห่งชาติ

สารบัญ

ประเด็นเรื่อง ภาพวาด AI คว้าชัยศิลปกรรมแห่งชาติ ได้กลายเป็นหัวข้อที่สร้างความสนใจและคำถามมากมายในแวดวงศิลปะร่วมสมัยของไทย แม้ว่ากระแสข่าวดังกล่าวจะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในบริบทของการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติของไทย แต่ปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันในต่างประเทศได้จุดประกายการถกเถียงครั้งสำคัญเกี่ยวกับนิยามของศิลปะ บทบาทของศิลปิน และอนาคตของการสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล

สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับศิลปะ AI

  • ข่าวลือที่ว่าภาพวาดจาก AI ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติของประเทศไทยนั้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริง
  • เหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของกระแสนี้เกิดขึ้นจริงในการประกวดศิลปะที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ซึ่งภาพที่สร้างโดย AI ได้รับรางวัลชนะเลิศในหมวดศิลปะดิจิทัล
  • ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามเชิงปรัชญาและจริยธรรมเกี่ยวกับคำจำกัดความของ “ศิลปิน” และ “ผลงานศิลปะ” ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้น
  • ศิลปินแห่งชาติของไทยได้แสดงทัศนะต่อศิลปะจาก AI โดยเน้นย้ำถึงคุณค่าและจิตวิญญาณของผลงานที่สร้างขึ้นจากฝีมือและสมองของมนุษย์
  • อนาคตของวงการศิลปะอาจเป็นการผสานรวมระหว่างทักษะของมนุษย์และเครื่องมือ AI ซึ่งนำไปสู่การพิจารณาด้านกฎหมายลิขสิทธิ์และจริยธรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

จุดเริ่มต้นของกระแสข่าวและข้อเท็จจริง

การแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารในยุคดิจิทัลทำให้ประเด็นที่น่าสนใจสามารถกลายเป็นกระแสไวรัลได้อย่างรวดเร็ว กรณีของ ภาพวาด AI คว้าชัยศิลปกรรมแห่งชาติ ก็เช่นกัน ข่าวนี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนและกระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในหลากหลายแง่มุม ตั้งแต่ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของศิลปินไปจนถึงการตั้งคำถามถึงคุณค่าที่แท้จริงของงานศิลปะ การทำความเข้าใจที่มาของข่าวและแยกแยะข้อเท็จจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง

ทำความเข้าใจข่าวลือที่สั่นสะเทือนวงการศิลปะไทย

ข่าวลือดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเนื่องจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสามารถของ AI ในการสร้างภาพที่สวยงามและซับซ้อนจากคำสั่งข้อความ (Text Prompt) ทำให้หลายคนรู้สึกทึ่งและกังวลไปพร้อมกัน ความกังวลหลักคือ หาก AI สามารถสร้างผลงานศิลปะที่มีคุณภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ได้ อนาคตของศิลปินที่ใช้เวลาทั้งชีวิตฝึกฝนทักษะจะเป็นอย่างไร กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้จึงมีวงกว้าง ตั้งแต่ตัวศิลปินเอง นักสะสมผลงาน สถาบันการศึกษาด้านศิลปะ ไปจนถึงผู้เสพงานศิลป์ทั่วไปที่ต้องเผชิญกับคำถามใหม่ๆ ว่าจะประเมินคุณค่าของผลงานที่ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์โดยตรงได้อย่างไร

กรณีศึกษาจากต่างประเทศ: Théâtre D’opéra Spatial

ต้นตอของกระแสถกเถียงระดับโลกมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในงานประกวดศิลปกรรมประจำปีของรัฐโคโลราโด (Colorado State Fair Fine Arts Competition) ในสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2022 ผลงานชื่อ “Théâtre D’opéra Spatial” โดย เจสัน เอ็ม. อัลเลน (Jason M. Allen) ได้รับรางวัลชนะเลิศในประเภทศิลปะดิจิทัล/การถ่ายภาพดิจิทัล (Digital Arts/Digitally-Manipulated Photography) สิ่งที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้แตกต่างคือ มันถูกสร้างขึ้นโดยใช้โปรแกรม AI สร้างภาพชื่อ Midjourney

อัลเลนใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการสร้างสรรค์และปรับแก้คำสั่งกว่า 900 รูปแบบ เพื่อให้ AI สร้างภาพที่ตรงตามจินตนาการของเขามากที่สุด ก่อนจะนำภาพที่ถูกคัดเลือกมาปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยโปรแกรมแก้ไขภาพ และส่งเข้าประกวด ชัยชนะของเขาจุดชนวนให้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง ฝ่ายหนึ่งมองว่านี่คือการ “โกง” เพราะเครื่องมือเป็นผู้สร้างภาพเกือบทั้งหมด ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง รวมถึงตัวอัลเลนเอง ยืนยันว่านี่คือกระบวนการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ที่มนุษย์เป็นผู้กำกับแนวคิดและทิศทาง ซึ่งควรค่าแก่การยอมรับในฐานะงานศิลปะแขนงหนึ่ง เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางความเข้าใจและกฎเกณฑ์ที่ยังตามไม่ทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

สถานการณ์ในประเทศไทย: ข้อเท็จจริงคืออะไร

สำหรับบริบทของประเทศไทย จากการตรวจสอบข้อมูลจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่ามีผลงานที่สร้างจาก AI ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติของไทย ซึ่งเป็นเวทีประกวดศิลปะที่ทรงเกียรติและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ข่าวลือที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการตีความหรือผสมผสานข้อมูลจากเหตุการณ์ในต่างประเทศเข้ากับความกังวลที่มีอยู่แล้วในวงการศิลปะไทย อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีกรณีชนะรางวัลอย่างเป็นทางการ แต่การถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทและผลกระทบของ AI ในการสร้างงานศิลปะได้เกิดขึ้นแล้วอย่างกว้างขวางในหมู่ศิลปินและนักวิชาการไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้

นิยามของศิลปะในยุคปัญญาประดิษฐ์

การมาถึงของ AI สร้างภาพได้ท้าทายคำจำกัดความของ “ศิลปะ” และ “ศิลปิน” ที่เคยเป็นที่เข้าใจกันมานานหลายศตวรรษ เมื่อกระบวนการสร้างสรรค์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พู่กัน สิ่ว หรือกล้องถ่ายรูป แต่รวมถึงการเขียนโค้ดและป้อนคำสั่งให้แก่ปัญญาประดิษฐ์ เส้นแบ่งระหว่างผู้สร้างสรรค์และเครื่องมือก็เริ่มพร่าเลือน คำถามเชิงปรัชญาจึงเกิดขึ้นว่า “เจตจำนงทางศิลปะ” (Artistic Intent) นั้นอยู่ที่ใด และเราจะวัดคุณค่าของผลงานที่เกิดจากกระบวนการที่แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างไร

เมื่อเครื่องจักรสร้างสรรค์: ศิลปินคือใคร?

คำถามสำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ ใครคือ “ศิลปิน” ในสมการนี้? หากมองในแง่หนึ่ง ผู้ใช้ที่ป้อนคำสั่ง (Prompt Engineer) คือผู้ที่มีวิสัยทัศน์และแนวคิดเบื้องหลังผลงาน พวกเขาเป็นผู้เลือกสรรคำศัพท์ จัดวางองค์ประกอบ และคัดเลือกผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทักษะ ความรู้ และความเข้าใจในสุนทรียศาสตร์ไม่ต่างจากศิลปินแขนงอื่น ในมุมมองนี้ AI เป็นเพียงเครื่องมือที่ซับซ้อนเฉกเช่นเดียวกับกล้องถ่ายรูปหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก

ทว่า ในอีกมุมหนึ่ง AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ทำตามคำสั่งแบบตรงไปตรงมา แต่ระบบได้เรียนรู้จากชุดข้อมูลภาพมหาศาลและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาโดยอิงจากรูปแบบที่ได้เรียนรู้ กระบวนการ “สร้าง” ที่เกิดขึ้นภายในโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง ทำให้บางคนมองว่า AI มีส่วนในการเป็น “ผู้ร่วมสร้างสรรค์” หรือแม้กระทั่งเป็น “ศิลปิน” เสียเอง ประเด็นนี้ยังคงเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และอาจต้องอาศัยมุมมองทางปรัชญาและกฎหมายเข้ามาพิจารณาในอนาคต

กระบวนการสร้างสรรค์: มนุษย์ vs. AI

เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างและจุดร่วมระหว่างศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์และ AI การเปรียบเทียบกระบวนการสร้างสรรค์ในมิติต่างๆ สามารถให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบมิติการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
มิติการสร้างสรรค์ ศิลปินมนุษย์ ศิลปะจาก AI
แรงบันดาลใจและแนวคิด มาจากประสบการณ์ชีวิต อารมณ์ความรู้สึก บริบททางสังคม และปรัชญาส่วนตัว มาจากคำสั่ง (Prompt) ของผู้ใช้ และการวิเคราะห์รูปแบบจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่
กระบวนการและทักษะ ใช้ทักษะทางกายภาพ (การวาด, ปั้น, ระบายสี) และการตัดสินใจเชิงสุนทรียะอย่างต่อเนื่อง ใช้ทักษะการสร้างสรรค์คำสั่ง (Prompt Crafting) การปรับแก้พารามิเตอร์ และการคัดเลือกผลลัพธ์
ผลลัพธ์และเอกลักษณ์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนสไตล์ ลายเส้น และ “จิตวิญญาณ” ของผู้สร้าง สามารถสร้างผลลัพธ์ที่หลากหลายและน่าทึ่ง แต่บางครั้งอาจขาดความเชื่อมโยงทางอารมณ์หรือ “ความผิดพลาดที่สวยงาม”
ข้อถกเถียงเชิงจริยธรรม การลอกเลียนแบบผลงาน (Plagiarism) และแรงบันดาลใจที่เกินขอบเขต ประเด็นลิขสิทธิ์ของข้อมูลที่ใช้ฝึก AI, การลดทอนคุณค่าของทักษะมนุษย์ และปัญหาการสร้างผลงานปลอม

มุมมองจากศิลปินแห่งชาติและอนาคตของศิลปินไทย

มุมมองจากศิลปินแห่งชาติและอนาคตของศิลปินไทย

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มุมมองจากศิลปินผู้มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับในวงกว้างจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการชี้นำทิศทางและสร้างความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในประเทศไทย ทัศนะของศิลปินแห่งชาติได้กลายเป็นเสียงสะท้อนที่สำคัญต่อประเด็นศิลปะ AI

ทัศนะจากอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพในวงการศิลปะไทย ได้แสดงความคิดเห็นต่อกระแสศิลปะจาก AI อย่างตรงไปตรงมา ท่านยอมรับว่า AI เป็นเทรนด์ของโลกที่กำลังมาแรงและเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ท่านได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้อจำกัดและลักษณะเฉพาะของผลงานที่สร้างจาก AI ซึ่งแตกต่างจากผลงานที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นอย่างสิ้นเชิง

คำเตือนถึงความ “แข็งกระด้าง” ของศิลปะ AI

หนึ่งในประเด็นหลักที่อาจารย์เฉลิมชัยหยิบยกขึ้นมาคือคุณลักษณะของผลงานจาก AI ซึ่งท่านมองว่ายังขาดชีวิตชีวาและมิติทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง

ศิลปะจาก AI มีลักษณะ แข็งกระด้าง

คำว่า “แข็งกระด้าง” ในที่นี้อาจตีความได้ว่า ผลงานจาก AI แม้จะมีความสวยงามทางเทคนิคและองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังขาดซึ่ง “จิตวิญญาณ” หรือร่องรอยของความเป็นมนุษย์ (Human Touch) ที่ปรากฏในลายเส้น สี หรือฝีแปรงที่ไม่สมบูรณ์แบบแต่กลับเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ที่ทำให้ผลงานศิลปะของมนุษย์สามารถสื่อสารและสร้างความผูกพันกับผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ในปัจจุบันอาจยังไม่สามารถทำซ้ำหรือเลียนแบบได้

ศิลปินรุ่นใหม่ควรปรับตัวอย่างไร

อาจารย์เฉลิมชัยได้ฝากข้อคิดถึงศิลปินรุ่นใหม่ว่าอย่าหวาดกลัวเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรพึ่งพามันจนละเลยการพัฒนาทักษะพื้นฐานและแก่นแท้ของการสร้างสรรค์ ท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างงานด้วย “มือและสมอง” ของตนเอง ซึ่งหมายถึงการฝึกฝนฝีมือ ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะความคิดและจินตนาการที่เป็นเอกลักษณ์

สำหรับอนาคตศิลปินไทย การปรับตัวอาจหมายถึงการมอง AI ในฐานะเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ผู้สร้างหลัก ศิลปินอาจใช้ AI เพื่อช่วยร่างแนวคิดเบื้องต้น (Conceptualization), สำรวจสไตล์ภาพที่แตกต่าง, หรือสร้างพื้นหลังที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว แต่หัวใจสำคัญของผลงานสุดท้ายยังคงต้องมาจากวิสัยทัศน์และความสามารถของศิลปิน การสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายขอบเขตจินตนาการกับการรักษาคุณค่าของงานฝีมือดั้งเดิม จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับความอยู่รอดและเติบโตของศิลปินในยุคดิจิทัล

จริยธรรมและข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา

นอกเหนือจากคำถามเชิงสุนทรียศาสตร์และปรัชญาแล้ว การเติบโตของศิลปะ AI ยังนำมาซึ่งความท้าทายด้านจริยธรรมและข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ซึ่งวงการศิลปะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องหาแนวทางรับมืออย่างเร่งด่วน

ปัญหาลิขสิทธิ์: ใครคือเจ้าของผลงาน?

ประเด็นด้านลิขสิทธิ์เป็นหนึ่งในปัญหาที่ซับซ้อนที่สุด คำถามแรกคือ ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพที่ AI สร้างขึ้น? ระหว่างผู้ใช้ที่ป้อนคำสั่ง, บริษัทผู้พัฒนา AI, หรือตัว AI เอง? กฎหมายลิขสิทธิ์ในหลายประเทศรวมถึงไทยยังไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกรณีเช่นนี้ ทำให้เกิดสภาวะ “พื้นที่สีเทา” ทางกฎหมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีประเด็นเรื่องข้อมูลที่ใช้ในการ “ฝึก” (Train) AI โมเดลเหล่านี้มักถูกฝึกจากภาพถ่ายและผลงานศิลปะจำนวนมหาศาลที่รวบรวมมาจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์ การที่ AI นำสไตล์และองค์ประกอบจากผลงานเหล่านั้นมาสร้างเป็นภาพใหม่ ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่? ศิลปินจำนวนมากเริ่มแสดงความกังวลว่าผลงานของพวกเขากำลังถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อสร้างเครื่องมือที่จะเข้ามาแข่งขันกับพวกเขาเองในอนาคต

ความโปร่งใสในการประกวดและจัดแสดง

จากกรณีของเจสัน อัลเลน ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความโปร่งใสในการประกวดศิลปะ เวทีการประกวดควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนว่าอนุญาตให้ส่งผลงานที่สร้างจาก AI หรือไม่? หากอนุญาต ควรมีการระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นผลงานที่ใช้ AI และอาจต้องมีการจัดหมวดหมู่การประกวดแยกต่างหาก เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับศิลปินที่สร้างผลงานด้วยวิธีการดั้งเดิม

ความโปร่งใสนี้ยังขยายไปถึงการจัดแสดงและจำหน่ายผลงาน ผู้ชมและนักสะสมมีสิทธิ์ที่จะทราบว่าผลงานที่พวกเขากำลังชื่นชมหรือพิจารณาซื้อนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการใด การขาดความชัดเจนในเรื่องนี้อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตลาดศิลปะในระยะยาว

บทสรุป: ทิศทางของวงการศิลปะในยุค AI

แม้ว่าข่าวลือเรื่อง ภาพวาด AI คว้าชัยศิลปกรรมแห่งชาติ ในประเทศไทยจะยังไม่มีมูลความจริง แต่กระแสที่เกิดขึ้นได้ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนและจุดเริ่มต้นของการสนทนาครั้งสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของศิลปะ ปัญญาประดิษฐ์ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม แต่ยังท้าทายแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าของความเป็นมนุษย์

วงการศิลปะกำลังเดินทางเข้าสู่ยุคใหม่ที่ศิลปินจะต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับเครื่องมืออัจฉริยะ ในขณะเดียวกันก็ต้องค้นหาและยืนยันในคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง การถกเถียงเรื่องจริยธรรม AI, การปรับปรุงข้อกฎหมายลิขสิทธิ์, และการกำหนดมาตรฐานใหม่ๆ สำหรับการประกวดและจัดแสดงผลงาน จะเป็นภารกิจที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน การมาถึงของ AI ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของศิลปะ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาครั้งใหม่ที่ท้าทายให้มนุษย์ต้องกลับมาทบทวนและนิยามความหมายของคำว่า “สร้างสรรค์” อีกครั้ง

“`