น้ำท่วมกรุงเทพฯ? รับมืออย่างไร-เช็คพื้นที่เสี่ยงล่าสุด

สารบัญ

ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจในวงกว้าง การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ การติดตามสถานการณ์ และการเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้

  • กรุงเทพมหานครเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกหนักและประสิทธิภาพของระบบระบายน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ใจกลางเมืองและเขตรอบนอก
  • สถานการณ์ล่าสุดในช่วงกลางปี 2025 ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของหลายพื้นที่ เช่น ลาดพร้าว วังทองหลาง และบางเขน ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนสะสมสูง
  • การรับมือที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการดำเนินการของภาครัฐในการพร่องน้ำและจัดการสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำ และการเตรียมความพร้อมของประชาชน
  • เทคโนโลยีเชิงพื้นที่ เช่น แพลตฟอร์มดาวเทียม GISTDA มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลที่แม่นยำเพื่อการประเมินความเสี่ยงและการวางแผนป้องกันล่วงหน้า
  • ความท้าทายในระยะยาวจากภาวะโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเสี่ยงจมน้ำสูงในอนาคต ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อความยั่งยืน

สำหรับคำถามที่ว่า น้ำท่วมกรุงเทพฯ? รับมืออย่างไร-เช็คพื้นที่เสี่ยงล่าสุด นั้น กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังในทุกฤดูฝน สถานการณ์น้ำท่วมขังไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์ที่ซับซ้อนจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งปริมาณฝนที่ตกหนักเกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำ การขยายตัวของเมืองที่ลดพื้นที่ซับน้ำตามธรรมชาติ และปัญหาขยะอุดตันตามลำคลองและท่อระบายน้ำ การทำความเข้าใจถึงพลวัตเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการพัฒนากลยุทธ์การรับมือที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกคน

ทำความเข้าใจสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ: สาเหตุและผลกระทบ

ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นซ้ำซาก โดยมีรากฐานมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเมืองซึ่งเป็นที่ราบลุ่มปากแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับความท้าทายด้านการบริหารจัดการเมืองสมัยใหม่ สถานการณ์ดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานเดิมไม่สามารถรองรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ปัจจัยหลักที่ทำให้กรุงเทพฯ เผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก

สาเหตุหลักของปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายมิติ:

  1. ปัจจัยทางธรรมชาติ: ปริมาณฝนที่ตกหนักและต่อเนื่องเป็นสาเหตุโดยตรงที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีฝนตกสะสมในปริมาณมากเกินกว่า 100 มิลลิเมตรภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมขังรอการระบายในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สูงขึ้นจากภาวะน้ำทะเลหนุนยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การระบายน้ำจากคลองสายหลักออกสู่ทะเลทำได้ช้าลง
  2. ปัจจัยทางกายภาพของเมือง: การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ว่างที่เคยทำหน้าที่เป็นแหล่งซับน้ำตามธรรมชาติลดน้อยลง พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยคอนกรีตและแอสฟัลต์ซึ่งไม่สามารถซับน้ำได้ ทำให้น้ำฝนทั้งหมดไหลลงสู่ระบบระบายน้ำในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ การทรุดตัวของแผ่นดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังทำให้บางพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมขัง
  3. ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน: แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะมีระบบอุโมงค์ระบายน้ำและสถานีสูบน้ำจำนวนมาก แต่ประสิทธิภาพของระบบยังคงมีข้อจำกัดในการรองรับปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักอย่างฉับพลัน ปัญหาการอุดตันของท่อระบายน้ำและลำคลองจากขยะและสิ่งปฏิกูลเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการไหลของน้ำ ในบางกรณี ปัญหาทางเทคนิค เช่น ไฟฟ้าดับที่สถานีสูบน้ำ ก็สามารถทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้อย่างรวดเร็ว

ผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจ

ผลกระทบจากน้ำท่วมในกรุงเทพฯ มีความรุนแรงและครอบคลุมในหลายมิติ ในด้านชีวิตประจำวัน ปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนักกลายเป็นภาพที่คุ้นชินในช่วงที่เกิดน้ำท่วมขัง ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบากและใช้เวลายาวนานกว่าปกติ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงต้องเผชิญกับความเสียหายต่อทรัพย์สิน บ้านเรือน และยานพาหนะ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านสุขภาพจากโรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู และโรคติดต่อทางเดินอาหาร

ในเชิงเศรษฐกิจ น้ำท่วมสร้างความเสียหายโดยตรงต่อกิจกรรมทางธุรกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการรายย่อยอาจต้องหยุดกิจการชั่วคราว ในขณะที่ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ได้รับผลกระทบจากเส้นทางคมนาคมที่ถูกตัดขาด ภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภูมิภาคอาจได้รับผลกระทบในระยะยาวหากไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนในการซ่อมแซมฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินที่เสียหายถือเป็นภาระงบประมาณที่สำคัญของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดและพื้นที่เฝ้าระวัง

สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดและพื้นที่เฝ้าระวัง

การติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและทำความเข้าใจพื้นที่เสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อมและลดผลกระทบ ข้อมูลจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้สามารถคาดการณ์และวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลจากเหตุการณ์ฝนตกหนักในช่วงกลางปี 2025 ที่ผ่านมา

สรุปเหตุการณ์สำคัญช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2025

ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ปี 2025 กรุงเทพมหานครเผชิญกับสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้:

  • ปริมาณฝนตกหนัก: หลายพื้นที่มีปริมาณฝนสะสมสูงกว่า 130 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นระดับที่เกินกว่าขีดความสามารถของระบบระบายน้ำในหลายจุด ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมขังฉับพลัน
  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก: เขตที่มีรายงานน้ำท่วมขังรุนแรงและเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ลาดพร้าว, วังทองหลาง, และ บางเขน โดยเฉพาะบริเวณถนนสายหลักและในซอยย่อยต่างๆ ทำให้การสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก
  • อุปสรรคในการระบายน้ำ: นอกเหนือจากปริมาณฝนแล้ว ยังมีรายงานปัญหาเฉพาะจุดที่ซ้ำเติมสถานการณ์ เช่น ปัญหาไฟฟ้าดับที่สถานีสูบน้ำบางแห่ง ทำให้การสูบน้ำต้องหยุดชะงักชั่วคราว และกรณีต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มขวางทางระบายน้ำที่คลองบางซื่อ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำออกจากพื้นที่ชั้นใน

เหตุการณ์ฝนตกหนักในปี 2025 เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า แม้จะมีการเตรียมการ แต่ปัจจัยที่ไม่คาดคิด เช่น ปัญหาทางเทคนิคและอุปสรรคทางกายภาพ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในการจัดการสถานการณ์น้ำท่วม

เปิดรายชื่อเขตพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

จากข้อมูลในอดีตและแบบจำลองสถานการณ์ สามารถระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมขังสูงในเขตกรุงเทพมหานครได้ โดยส่วนใหญ่มักเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำหรือพื้นที่ที่มีปัญหาคอขวดในการระบายน้ำ พื้นที่เหล่านี้จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงที่มีการพยากรณ์ฝนตกหนัก

พื้นที่เสี่ยงสูง (โซนชั้นในและโซนกลาง):

  • เขตลาดพร้าว: โดยเฉพาะบริเวณโชคชัย 4 และถนนลาดพร้าว ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและมีปัญหาการระบายน้ำซ้ำซาก
  • เขตวังทองหลาง: พื้นที่ต่อเนื่องจากเขตลาดพร้าวที่มักประสบปัญหาน้ำท่วมขังพร้อมกัน
  • ถนนสุขุมวิท: ตลอดแนวถนนสุขุมวิท โดยเฉพาะบริเวณอโศก, อ่อนนุช และซอยย่อยต่างๆ ที่มักมีน้ำท่วมขังรอการระบายหลังฝนตกหนัก
  • ถนนพัฒนาการ และ ศรีนครินทร์: เป็นอีกสองเส้นทางคมนาคมสำคัญที่มักได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำไม่ทัน

การทราบข้อมูลพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนที่อาศัยหรือต้องสัญจรผ่านสามารถวางแผนการเดินทางและเตรียมการป้องกันทรัพย์สินของตนเองล่วงหน้าได้ดียิ่งขึ้น

น้ำท่วมกรุงเทพฯ? รับมืออย่างไร-เช็คพื้นที่เสี่ยงล่าสุด สำหรับภาคประชาชน

การรับมือกับปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว การเตรียมความพร้อมในระดับครัวเรือนและส่วนบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสียหายและความเดือดร้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินไปได้อย่างปลอดภัย

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดสถานการณ์

การเตรียมการล่วงหน้าเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือน้ำท่วม ควรเริ่มดำเนินการตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน หรือเมื่อได้รับการแจ้งเตือนภัยฝนตกหนัก:

  1. จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน: เตรียมกระเป๋าหรือภาชนะกันน้ำสำหรับเก็บสิ่งของจำเป็น เช่น ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง, ยารักษาโรคประจำตัว, ชุดปฐมพยาบาล, อาหารแห้งและน้ำดื่มสำหรับ 2-3 วัน, โทรศัพท์มือถือและพาวเวอร์แบงก์, เอกสารสำคัญ (สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, โฉนดที่ดิน) ที่เก็บในซองกันน้ำ
  2. การป้องกันบ้านเรือน: ย้ายปลั๊กไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นที่สูงให้พ้นจากระดับที่คาดว่าน้ำจะท่วมถึง หากมีกระสอบทราย ควรเตรียมไว้อุดช่องว่างหรือทางน้ำเข้าที่ชั้นล่างของบ้าน ตรวจสอบและทำความสะอาดรางน้ำฝนและท่อระบายน้ำรอบบ้านไม่ให้มีสิ่งอุดตัน
  3. วางแผนการอพยพ: ศึกษาเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยและกำหนดจุดนัดพบกับสมาชิกในครอบครัวในกรณีที่ต้องออกจากบ้านพักอาศัยชั่วคราว
  4. ติดตามข้อมูลข่าวสาร: รับฟังประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานราชการ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา และกรุงเทพมหานคร ผ่านช่องทางต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

แนวทางการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดน้ำท่วม

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมได้เริ่มขึ้นแล้ว การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องจะช่วยรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน:

  • ตัดระบบไฟฟ้า: ปิดสวิตช์ไฟและคัตเอาต์หลักของบ้านเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าลัดวงจร
  • หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ: หากไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการเดินฝ่าน้ำท่วมขัง เนื่องจากอาจมีอันตรายจากสัตว์มีพิษ, เศษแก้ว, หรือวัตถุมีคมใต้น้ำ และเสี่ยงต่อการถูกไฟฟ้าดูดหากมีกระแสไฟรั่ว
  • ห้ามใช้รถยนต์ในพื้นที่น้ำท่วมสูง: การขับรถฝ่าน้ำท่วมสูงอาจทำให้เครื่องยนต์ดับและเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อรถยนต์ได้ และยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่
  • รักษาสุขอนามัย: ระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเพื่อป้องกันโรคระบาดที่มากับน้ำท่วม

การตรวจสอบข้อมูลและใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

ในยุคดิจิทัล ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจและวางแผนรับมือ แพลตฟอร์มหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งคือ Disaster Platform ที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งให้ข้อมูลเชิงพื้นที่จากดาวเทียม ทำให้สามารถตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้แบบเรียลไทม์ และยังสามารถดาวน์โหลดข้อมูลเพื่อนำไปใช้วางแผนป้องกันในระดับชุมชนได้อีกด้วย การใช้เครื่องมือเหล่านี้ควบคู่ไปกับการติดตามประกาศจาก กทม. จะช่วยให้การรับมือมีประสิทธิภาพสูงสุด

ตารางเปรียบเทียบความเสี่ยงและแนวทางการรับมือน้ำท่วมในระยะสั้นและระยะยาว
มิติการเปรียบเทียบ ความเสี่ยงระยะสั้น (รายฤดูกาล) ความเสี่ยงระยะยาว (ทศวรรษ)
สาเหตุหลัก ฝนตกหนักเกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำ, ปัญหาน้ำทะเลหนุน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น, การทรุดตัวของแผ่นดิน
ลักษณะผลกระทบ น้ำท่วมขังรอการระบาย, การจราจรติดขัด, ความเสียหายต่อทรัพย์สินชั้นล่าง การท่วมถาวรในพื้นที่ลุ่มต่ำ, การสูญเสียที่ดินชายฝั่ง, ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานหลัก
มาตรการรับมือของภาครัฐ พร่องน้ำในคลอง, ลอกท่อ, เตรียมความพร้อมสถานีสูบน้ำ, เตือนภัย การวางผังเมืองใหม่, สร้างโครงสร้างป้องกันขนาดใหญ่ (เช่น เขื่อนกั้นน้ำทะเล), การปรับตัวของเมือง
การเตรียมพร้อมของประชาชน ติดตามข่าวสาร, เตรียมชุดฉุกเฉิน, ยกของขึ้นที่สูง, วางแผนการเดินทาง การเลือกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ปลอดภัย, การปรับปรุงบ้านให้ทนทานต่อน้ำท่วม, การมีส่วนร่วมในการวางแผนชุมชน

มาตรการรับมือของภาครัฐและการจัดการเชิงระบบ

กรุงเทพมหานครในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ ได้วางมาตรการและแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้นแล้ว การดำเนินงานเหล่านี้ต้องอาศัยการประสานงานกับหลายหน่วยงานและการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงเวลาวิกฤต

แผนปฏิบัติการเชิงรุกของกรุงเทพมหานคร

มาตรการหลักที่ กทม. ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบจากน้ำท่วมประกอบด้วย:

  • การพร่องน้ำและเตรียมพื้นที่รับน้ำ: ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนหรือเมื่อมีการพยากรณ์ฝนตกหนัก จะมีการเร่งพร่องน้ำในคลองสายหลักและแก้มลิงต่างๆ เพื่อให้มีพื้นที่รองรับน้ำฝนใหม่ให้ได้มากที่สุด
  • การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ: มีการดำเนินการขุดลอกคูคลองและทำความสะอาดท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำจัดขยะและวัชพืชที่ขวางการไหลของน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหาน้ำท่วมขัง
  • การเตรียมความพร้อมของสถานีสูบน้ำ: ตรวจสอบและบำรุงรักษาสถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำทั่วกรุงเทพฯ ให้พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งประสานงานกับการไฟฟ้านครหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับที่อาจเกิดขึ้นกับสถานีสูบน้ำโดยเร็วที่สุด
  • การจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง: มีการจัดตั้งศูนย์ควบคุมสถานการณ์และจัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

การแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะยาว

ในระยะสั้น การแก้ไขปัญหาจะมุ่งเน้นไปที่การเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังให้เร็วที่สุด การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมองในภาพระยะยาว ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การสร้างอุโมงค์ระบายน้ำเพิ่มเติม, การพัฒนาพื้นที่แก้มลิงเพื่อหน่วงน้ำ และการปรับปรุงผังเมืองเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ซับน้ำ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการพยากรณ์ที่แม่นยำมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือในอนาคต

มองไปข้างหน้า: ความท้าทายระยะยาวและอนาคตของกรุงเทพฯ

นอกเหนือจากปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกตามฤดูกาลแล้ว กรุงเทพมหานครยังเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่กว่าในระยะยาว ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และลักษณะทางกายภาพของเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

ความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

ข้อมูลและการศึกษาจากหลายสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลกได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่น่ากังวลของกรุงเทพฯ ในอนาคต โดยมีการคาดการณ์ว่ากรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในมหานครของโลกที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะจมน้ำภายในปี 2050 ปัจจัยหลักมาจาก:

  • ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น: ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายและมวลน้ำในมหาสมุทรขยายตัว ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้การระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาออกสู่ทะเลเป็นไปได้ยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่ง
  • การทรุดตัวของแผ่นดิน: การสูบน้ำบาดาลในอดีตและการรับน้ำหนักของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ทำให้แผ่นดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกิดการทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราการทรุดตัวจะลดลง แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เมืองอยู่ต่ำลงเมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล

นักวิชาการได้ออกมาเตือนว่า หากไม่มีการปรับปรุงระบบการจัดการน้ำและวางแผนรับมืออย่างจริงจัง กรุงเทพมหานครอาจเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กว้างขวางและกินระยะเวลายาวนานกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ความจำเป็นในการวางแผนเมืองอย่างยั่งยืน