แผนลับย้ายเมืองหลวง? สัญญาณอันตรายคนกรุงเทพฯ
กระแสข่าวลือเกี่ยวกับแนวคิดการย้ายเมืองหลวงของประเทศไทยได้กลับมาเป็นที่สนใจในวงกว้างอีกครั้ง ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านที่กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมและการทรุดตัวของแผ่นดินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี บทความนี้จะวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเบื้องหลังข่าวลือดังกล่าว สถานะปัจจุบันของแนวคิดนี้ในระดับนโยบาย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออนาคตของคนกรุงเทพฯ และเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง
- ยังไม่มีแผนย้ายเมืองหลวงที่เป็นรูปธรรม: ในปัจจุบันยังไม่มี “แผนลับ” หรือการดำเนินการย้ายเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ แต่มีการยอมรับถึงความเสี่ยงและได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเพื่อศึกษาประเด็นนี้อย่างจริงจัง
- วิกฤตสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่ง: ปัญหาหลักที่ผลักดันให้เกิดการหารือเรื่องนี้คือภัยคุกคามจากการจมตัวของพื้นที่กรุงเทพฯ (กรุงเทพจมน้ำ) และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในอนาคต
- ทางเลือกระหว่าง “ย้าย” กับ “ป้องกัน”: แนวทางแก้ไขยังคงมีความเห็นต่าง โดยกระทรวงมหาดไทยเสนอให้เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันเมืองหลวง เนื่องจากประเมินว่าการย้ายเมืองหลวงต้องใช้งบประมาณมหาศาล
- แนวคิดย้ายเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องใหม่: ในอดีต ประเทศไทยเคยมีแผนย้ายเมืองหลวงไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเหตุผลด้านยุทธศาสตร์และความมั่นคง แต่แผนดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติ
- อนาคตที่ไม่แน่นอนของคนกรุงเทพฯ: การถกเถียงเรื่องนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในระยะยาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชากรในเมืองหลวง
บทวิเคราะห์เรื่อง แผนลับย้ายเมืองหลวง? สัญญาณอันตรายคนกรุงเทพฯ ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในสังคมอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากจินตนาการ แต่มีรากฐานมาจากความกังวลต่อวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างเมืองที่กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญอย่างหนักหน่วง ปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดินที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทั่วโลก ได้สร้างแรงกดดันให้ผู้มีอำนาจต้องพิจารณาทางเลือกที่อาจไม่เคยคาดคิดมาก่อน แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรม แต่การที่ภาครัฐได้เริ่มกระบวนการศึกษาความเป็นไปได้อย่างเป็นทางการ ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งบ่งชี้ว่าอนาคตของเมืองหลวงแห่งนี้กำลังอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน
ความสำคัญของประเด็นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงนักวิชาการหรือนักวางผังเมือง แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนหลายล้านคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยทั้งหมด การตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเมืองหลวงล้วนมีต้นทุนมหาศาล ทั้งในเชิงงบประมาณ สังคม และวัฒนธรรม ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา จุดยืนของฝ่ายต่างๆ และบทเรียนจากประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ต้นตอของวิกฤต: ทำไมกรุงเทพฯ ถึงตกอยู่ในความเสี่ยง?
คำถามที่ว่าเหตุใดแนวคิดการย้ายเมืองหลวงจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังในยุคนี้ คำตอบนั้นอยู่ในปัจจัยเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมที่สะสมมาเป็นเวลานาน กรุงเทพมหานครตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลและการทรุดตัวของดินโดยธรรมชาติ แต่กิจกรรมของมนุษย์ได้เร่งให้ปัญหารุนแรงขึ้นจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ที่อาจเกินกว่าจะรับมือได้ในอนาคต
ปัญหา “กรุงเทพจมน้ำ”: ภัยคุกคามที่มองไม่เห็น
หนึ่งในสาเหตุหลักที่สร้างความกังวลคือปรากฏการณ์ “กรุงเทพจมน้ำ” หรือการทรุดตัวของแผ่นดิน (Land Subsidence) ปัญหานี้เกิดจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในปริมาณมหาศาลตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและภาคอุตสาหกรรม เมื่อน้ำใต้ดินถูกสูบออกไป ช่องว่างในชั้นดินจึงยุบตัวลง ส่งผลให้พื้นดินโดยรวมของกรุงเทพฯ ทรุดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แม้ในปัจจุบันจะมีการควบคุมการใช้น้ำบาดาลที่เข้มงวดขึ้น แต่อัตราการทรุดตัวยังคงเกิดขึ้น ประกอบกับน้ำหนักของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่จำนวนมหาศาลที่กดทับลงบนชั้นดินที่อ่อนนุ่ม ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
การทรุดตัวนี้ส่งผลให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางหรือสูงกว่าเพียงเล็กน้อย ทำให้เมืองมีความเปราะบางอย่างยิ่งต่อปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “น้ำท่วมแบบจมบาดาล” ซึ่งหมายถึงสภาวะที่น้ำไม่สามารถระบายออกสู่ทะเลได้ตามธรรมชาติ และอาจเกิดการท่วมขังเป็นระยะเวลานาน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างมหาศาล
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม
วิกฤตการณ์โลกร้อนเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น นำไปสู่การขยายตัวของมวลน้ำในมหาสมุทรและการละลายของธารน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเล การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลแม้เพียงไม่กี่เซนติเมตรก็สามารถสร้างผลกระทบที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งจะดันมวลน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาและระบบคลองต่างๆ ทำให้การระบายน้ำจืดออกจากเมืองทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อน้ำท่วมฉับพลัน
ความเสี่ยงที่ซ้อนทับกันระหว่างแผ่นดินที่กำลังทรุดตัวและระดับน้ำทะเลที่กำลังสูงขึ้นนี้เอง ที่เป็นสัญญาณอันตรายที่ชัดเจนที่สุด และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การพิจารณาทางเลือกในการสร้าง ผังเมืองใหม่ หรือแม้กระทั่งการย้ายเมืองหลวง กลายเป็นวาระที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป
จุดยืนภาครัฐ: ระหว่าง “การย้าย” กับ “การป้องกัน”
เมื่อเผชิญกับความเสี่ยงที่ชัดเจน คำถามต่อไปคือภาครัฐมีแนวทางในการรับมืออย่างไร ในปัจจุบัน จุดยืนและแนวทางการดำเนินการยังคงมีความแตกต่างกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยมีสองแนวทางหลักที่กำลังถูกพิจารณาคือ การลงทุนสร้างระบบป้องกันขนาดใหญ่เพื่อรักษากรุงเทพฯ ไว้ กับการตัดสินใจย้ายศูนย์กลางการบริหารไปยังพื้นที่ใหม่ที่มีความปลอดภัยกว่า
ข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย: สร้างแนวป้องกัน
กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลด้านการปกครองท้องถิ่นและผังเมือง ได้แสดงทัศนะที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการย้ายเมืองหลวงในระยะสั้น โดยให้เหตุผลหลักด้าน งบประมาณ การประเมินเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าการสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศอย่างรุนแรง
ดังนั้น ทางกระทรวงจึงเสนอให้มุ่งเน้นไปที่แนวทางการป้องกันและบรรเทาปัญหาในพื้นที่เดิมเป็นหลัก โดยเสนอให้มีการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมถาวรริมชายฝั่งทะเล การยกระดับถนนและพื้นที่สำคัญ การพัฒนาระบบระบายน้ำและอุโมงค์ยักษ์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึงการวางผังเมืองเพื่อควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่เสี่ยงอย่างเข้มงวด แนวทางนี้มีเป้าหมายเพื่อ “ซื้อเวลา” และยืดอายุของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองหลวงต่อไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ก้าวสำคัญ: การจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ
แม้จะมีความเห็นต่างในแนวทางการแก้ไขปัญหา แต่ทุกฝ่ายต่างยอมรับถึงความรุนแรงของ วิกฤตเมืองหลวง ที่กำลังคืบคลานเข้ามา จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญ ขึ้นมาเพื่อพิจารณาศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นทางการและรอบด้าน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
การจัดตั้งคณะกรรมาธิการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ยกระดับการ 논ี จากเดิมที่เป็นเพียงการถกเถียงในวงวิชาการหรือข่าวลือ มาสู่กระบวนการศึกษาเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมาธิการฯ จะมีหน้าที่รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผลกระทบในทุกมิติ ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง รวมถึงประเมินความเป็นไปได้ของทางเลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน การย้ายบางส่วน หรือการย้ายเมืองหลวงทั้งหมด ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการชุดนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลในอนาคต และเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ย้อนรอยประวัติศาสตร์: แนวคิดการย้ายเมืองหลวงในอดีต
แนวคิดเรื่อง การย้ายเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประวัติศาสตร์ไทย ในอดีต การย้ายราชธานีมักเกิดขึ้นจากเหตุผลด้านยุทธศาสตร์การทหาร ความมั่นคง หรือเพื่อแสวงหาทำเลที่อุดมสมบูรณ์กว่า แต่กรณีที่น่าสนใจและใกล้เคียงกับยุคปัจจุบันมากที่สุด คือแผนการย้ายเมืองหลวงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีเหตุผลด้านความปลอดภัยเป็นตัวตั้ง
กรณีศึกษาเพชรบูรณ์: เมืองหลวงสำรองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เผชิญกับภัยคุกคามจากการโจมตีทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ทวีความรุนแรงขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารและยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีแผนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์
เหตุผลที่เลือกจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่นั้นมาจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการป้องกันเป็นอย่างยิ่ง เพชรบูรณ์มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะที่ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง ทำให้ยากต่อการโจมตีทางอากาศและง่ายต่อการตั้งรับทางภาคพื้นดิน รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการวางผังเมืองและก่อสร้างอาคารสถานที่ราชการต่างๆ ในพื้นที่ที่ถูกกำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม แผนการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากหลายฝ่ายในรัฐสภา รวมถึงปัญหาด้านงบประมาณและอุปสรรคในการก่อสร้าง สุดท้ายแผนดังกล่าวจึงไม่ประสบความสำเร็จและถูกยกเลิกไปในที่สุด
แม้แผนย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์จะล้มเหลว แต่ก็ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ว่า การย้ายเมืองหลวงเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยความเห็นพ้องต้องกันในระดับชาติ การวางแผนที่รัดกุม และทรัพยากรมหาศาล ซึ่งเป็นความท้าทายที่ไม่ได้แตกต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบันมากนัก เพียงแต่ภัยคุกคามได้เปลี่ยนจากระเบิดทางอากาศมาเป็นภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม
การวิเคราะห์ความเป็นไปได้: ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
การตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของเมืองหลวงเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่ามิติทางกายภาพ การพิจารณาทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแนวป้องกันหรือการย้ายเมืองหลวง จำเป็นต้องวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อ เศรษฐกิจไทย และวิถีชีวิตของผู้คนอย่างรอบด้าน
ความท้าทายด้านงบประมาณมหาศาล
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของทุกทางเลือกคือ “ต้นทุน” ทั้งสองแนวทางต่างต้องใช้งบประมาณในระดับมหาศาล การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ เช่น กำแพงกันคลื่นทะเล (Sea Wall) หรือระบบปิดล้อมเมือง อาจมีค่าใช้จ่ายหลายแสนล้านบาท และยังไม่รับประกันว่าจะสามารถป้องกันภัยพิบัติระดับรุนแรงในระยะยาวได้ ในขณะที่การย้ายเมืองหลวงยิ่งมีต้นทุนที่สูงกว่าหลายเท่าตัว ตั้งแต่การเวนคืนที่ดิน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด (ถนน, ไฟฟ้า, ประปา, ระบบสื่อสาร) การก่อสร้างอาคารที่ทำการราชการ ที่พักอาศัย และการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่เพื่อรองรับประชากร ซึ่งอาจต้องใช้งบประมาณหลายล้านล้านบาทและใช้เวลาหลายทศวรรษ
ปัจจัยพิจารณา | แนวทางการสร้างแนวป้องกัน | แนวทางการย้ายเมืองหลวง |
---|---|---|
ต้นทุน/งบประมาณ | สูงมาก (แสนล้านบาท) แต่ต่ำกว่าการย้าย | สูงมหาศาล (ล้านล้านบาท) |
ความยั่งยืนระยะยาว | เป็นการแก้ปัญหาระยะกลาง อาจไม่ยั่งยืนหากภัยพิบัติรุนแรงขึ้น | เป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในเชิงภูมิศาสตร์ แต่มีความเสี่ยงด้านอื่น |
ผลกระทบทางสังคม | ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตในพื้นที่ก่อสร้าง แต่ประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ที่เดิม | เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรครั้งใหญ่ สร้างผลกระทบต่อสังคมเดิมและสังคมใหม่ |
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ | รักษากรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีความเสี่ยงทางธุรกิจ | สร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ แต่กรุงเทพฯ เดิมอาจซบเซาลงอย่างรุนแรง |
ระยะเวลาดำเนินการ | ดำเนินการได้เร็วกว่า สามารถทำเป็นเฟสได้ | ใช้ระยะเวลานานหลายทศวรรษในการวางแผนและก่อสร้าง |
ผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯ และโครงสร้างเมือง
สำหรับประชาชนหลายล้านคนที่อาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ การถกเถียงเรื่องนี้คือ “สัญญาณอันตราย” ที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับอนาคต หากเลือกแนวทางการป้องกัน อาจต้องเผชิญกับผลกระทบจากการก่อสร้างขนาดใหญ่ การเวนคืนที่ดินบางส่วน และการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เมือง แต่หากมีการตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจริง ผลกระทบจะรุนแรงและซับซ้อนกว่านั้นมาก
ชะตากรรมของกรุงเทพฯ เดิมจะเป็นอย่างไร? มูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด? โครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนไปแล้วนับล้านล้านบาทจะถูกทิ้งร้างหรือไม่? และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้คนหลายล้านคนจะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้อย่างไร คำถามเหล่านี้คือความท้าทายใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
การย้ายเมืองหลวงอาจไม่ได้หมายถึงการอพยพประชากรทั้งหมด แต่การย้ายศูนย์กลางราชการและหน่วยงานสำคัญออกไป ย่อมส่งผลให้ความสำคัญทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงาน ธุรกิจ และการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สรุป: อนาคตของกรุงเทพฯ และสิ่งที่ต้องจับตามอง
สรุปแล้ว แผนลับย้ายเมืองหลวง ยังคงเป็นเพียงแนวคิดที่อยู่ระหว่างการศึกษา ไม่ใช่แผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม สัญญาณอันตรายที่ส่งมาจากวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการทรุดตัวของเมืองและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถือเป็นการยอมรับของภาครัฐว่าปัญหานี้มีความรุนแรงและจำเป็นต้องหาทางออกอย่างเร่งด่วน
อนาคตของกรุงเทพมหานครกำลังแขวนอยู่บนทางสองแพร่งระหว่างการทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างระบบป้องกันและยืดอายุของเมืองหลวงเดิมต่อไป กับการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์เพื่อย้ายศูนย์กลางของประเทศไปยังพื้นที่ใหม่ที่ปลอดภัยกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประเมินค่าได้ยาก การตัดสินใจไม่ว่าจะเลือกทางใด ล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยทุกคนและกำหนดทิศทางของประเทศในศตวรรษหน้า
ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนและทุกภาคส่วนควรทำในเวลานี้ คือการติดตามความคืบหน้าของการศึกษาจากคณะกรรมาธิการฯ อย่างใกล้ชิด มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อให้การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เป็นไปอย่างรอบคอบและนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดของประเทศในระยะยาว เพราะนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของกรุงเทพฯ แต่เป็นอนาคตของประเทศไทยที่ทุกคนต้องร่วมกันกำหนด