เสาไฟอัจฉริยะ: สอดแนมพฤติกรรมคนกรุงฯ?
ท่ามกลางการพัฒนาเมืองสู่ความเป็น “เมืองอัจฉริยะ” (Smart City) เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน หนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังถูกจับตามองคือ เสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) ซึ่งเริ่มมีการติดตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เทคโนโลยีนี้มาพร้อมฟังก์ชันที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการจัดการข้อมูล
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- เสาไฟอัจฉริยะเป็นมากกว่าอุปกรณ์ให้แสงสว่าง โดยผสานเทคโนโลยี IoT เช่น กล้องวงจรปิด AI, เซ็นเซอร์วัดคุณภาพอากาศ และระบบสื่อสารฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง
- โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากรุงเทพฯ สู่เมืองอัจฉริยะ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความปลอดภัย, อำนวยความสะดวก, และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
- ข้อกังวลหลักเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลภาพและพฤติกรรมของประชาชน ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึงการสอดแนมและการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
- ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บจะอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐ (สำนักงานเขต) โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์สาธารณะและแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างยั่งยืน
- การดำเนินการทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและสิทธิความเป็นส่วนตัว
การถกเถียงเรื่อง เสาไฟอัจฉริยะ: สอดแนมพฤติกรรมคนกรุงฯ? ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกสบาย อาจถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสอดส่องที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวได้หากไม่มีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและรัดกุม บทความนี้จะสำรวจเทคโนโลยีเสาไฟอัจฉริยะในทุกมิติ ตั้งแต่ฟังก์ชันการทำงาน วัตถุประสงค์ของโครงการ ไปจนถึงการวิเคราะห์ประเด็นอ่อนไหวเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับนวัตกรรมที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเมืองในอนาคตอันใกล้นี้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของเมืองทั่วโลก กรุงเทพมหานครในฐานะมหานครชั้นนำก็กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของเมืองอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการนำเสาไฟอัจฉริยะมาใช้งานถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ดังกล่าว โครงการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่เป็นผลพวงจากความต้องการแก้ไขปัญหาเมืองที่ซับซ้อน เช่น ปัญหาอาชญากรรม, การจราจรติดขัด และปัญหามลพิษทางอากาศ การติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์จึงเป็นคำตอบที่ภาครัฐเล็งเห็นถึงศักยภาพ ประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงหลักการทำงาน ประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถปรับตัวและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองได้อย่างเหมาะสม
ภาพรวมของเทคโนโลยีเสาไฟอัจฉริยะ
ก่อนจะวิเคราะห์ถึงประเด็นด้านความเป็นส่วนตัว การทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีของเสาไฟอัจฉริยะเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ชนิดนี้แตกต่างจากเสาไฟแบบดั้งเดิมอย่างไร และมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในเมืองได้มากน้อยเพียงใด
นิยามและแนวคิดหลัก
เสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole หรือ Smart Light Pole) คือโครงสร้างพื้นฐานของเมืองที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นมากกว่าเสาไฟส่องสว่างทั่วไป โดยทำหน้าที่เป็น “สถานีอัจฉริยะ” หรือ “ฮับ” (Hub) ที่รวมเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) หลายชนิดเข้าไว้ด้วยกัน แนวคิดหลักคือการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วอย่างเสาไฟฟ้าให้กลายเป็นเครือข่ายเซ็นเซอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง สามารถรวบรวมข้อมูลสภาพแวดล้อมต่างๆ ส่งต่อไปยังศูนย์ควบคุมกลางเพื่อทำการวิเคราะห์และนำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เสาไฟอัจฉริยะไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์เดี่ยวๆ แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศเมืองอัจฉริยะ (Smart City Ecosystem) ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างบริการสาธารณะที่ดีขึ้น ตั้งแต่การดูแลความปลอดภัย การจัดการพลังงาน ไปจนถึงการสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นแก่ประชาชน
องค์ประกอบและฟังก์ชันการทำงาน
ความสามารถที่หลากหลายของเสาไฟอัจฉริยะเกิดจากการติดตั้งชุดอุปกรณ์และเซ็นเซอร์ต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนมีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยองค์ประกอบหลักที่พบได้ในโครงการนำร่องที่กรุงเทพมหานคร มีดังนี้:
- ระบบไฟส่องสว่าง LED อัจฉริยะ (Smart LED Lighting): เป็นหัวใจหลักของเสาไฟ ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง แต่มีความสามารถมากกว่าหลอดไฟทั่วไป โดยสามารถปรับระดับความสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพแสงหรือช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมหาศาล และสามารถควบคุมการเปิด-ปิดจากระยะไกลได้ ทำให้การบำรุงรักษาง่ายขึ้น
- กล้องวงจรปิด (CCTV) พร้อมระบบ AI: ติดตั้งกล้องความละเอียดสูงที่สามารถบันทึกภาพได้ 360 องศา จุดเด่นคือการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพวิดีโอแบบเรียลไทม์ เช่น การตรวจจับความหนาแน่นของการจราจร, การนับจำนวนยานพาหนะ, การตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น อุบัติเหตุหรือการรวมตัวของคนจำนวนมาก และการบันทึกภาพย้อนหลังเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
- เซ็นเซอร์วัดคุณภาพอากาศ (Environmental Sensors): ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และ PM10 รวมถึงอาจตรวจวัดค่าอื่นๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเฝ้าระวังปัญหามลพิษและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที
- ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน (SOS Emergency Call): มีปุ่ม SOS ติดตั้งอยู่ที่ตัวเสา เพื่อให้ประชาชนสามารถกดเพื่อขอความช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุฉุกเฉินได้ทันที ระบบจะเชื่อมต่อไปยังศูนย์ควบคุมของเจ้าหน้าที่ ทำให้สามารถระบุตำแหน่งและส่งความช่วยเหลือไปยังที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว
- ป้ายจอดิจิทัล (Digital Signage): เป็นหน้าจอแสดงผลสำหรับประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญจากภาครัฐ เช่น ประกาศเตือนภัย, ข้อมูลการจราจร, ข้อมูลกิจกรรมในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นสื่อโฆษณาเพื่อสร้างรายได้
- ระบบกระจายสัญญาณ Wi-Fi (Wi-Fi Hotspot): ในบางรุ่นอาจมีการติดตั้งอุปกรณ์กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สาย เพื่อให้บริการ Wi-Fi สาธารณะฟรีแก่ประชาชนในบริเวณใกล้เคียง
คุณสมบัติ | เสาไฟแบบดั้งเดิม | เสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) |
---|---|---|
ฟังก์ชันหลัก | ให้แสงสว่าง | ให้แสงสว่าง, รวบรวมข้อมูล, สื่อสาร และให้บริการ |
ระบบแสงสว่าง | หลอดไฟธรรมดา เปิด-ปิดตามเวลาคงที่ | หลอด LED ปรับความสว่างอัตโนมัติ ประหยัดพลังงาน |
การรักษาความปลอดภัย | ไม่มี | กล้อง CCTV พร้อม AI, ปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน SOS |
การตรวจวัดสิ่งแวดล้อม | ไม่มี | เซ็นเซอร์วัดค่า PM2.5, PM10, อุณหภูมิ |
การสื่อสาร | ไม่มี | ป้ายจอดิจิทัล, Wi-Fi Hotspot (บางรุ่น) |
การจัดการและควบคุม | ควบคุมแบบแยกส่วน ณ จุดติดตั้ง | ควบคุมและบริหารจัดการจากศูนย์กลางผ่านระบบคลาวด์ |
เสาไฟอัจฉริยะในบริบท “เมืองอัจฉริยะ” ของกรุงเทพมหานคร
การติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะไม่ได้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองในระยะยาวที่เรียกว่า “เมืองอัจฉริยะ” หรือ Smart City ซึ่งเป็นแนวทางที่เมืองใหญ่ทั่วโลกกำลังมุ่งไป
วัตถุประสงค์ของโครงการ Smart City
โครงการเมืองอัจฉริยะมีเป้าหมายหลักเพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการและการให้บริการของเมือง โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในมิติต่างๆ สำหรับกรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ของโครงการสามารถสรุปได้ดังนี้:
- ความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Safety): เพิ่มความสามารถในการเฝ้าระวังและป้องกันอาชญากรรม รวมถึงการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment): ติดตามและจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ, การจัดการขยะ และการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
- การเดินทางอัจฉริยะ (Smart Mobility): บริหารจัดการการจราจรให้คล่องตัว ลดปัญหาการจราจรติดขัด และส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
- เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy): ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ๆ
- การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance): เพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการให้บริการของภาครัฐ โดยนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย
เสาไฟอัจฉริยะจึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์หลายด้านพร้อมกัน โดยเฉพาะในมิติของความปลอดภัย, สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการเมือง
พื้นที่นำร่องและผลกระทบเบื้องต้น
โครงการนำร่องได้เริ่มดำเนินการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะในพื้นที่เขตจตุจักร บริเวณซอยลาดพร้าว 10 และ 12 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ของที่พักอาศัยและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเลือกพื้นที่นำร่องมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยีและประเมินผลกระทบก่อนที่จะขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วกรุงเทพฯ
ผลกระทบเบื้องต้นที่คาดหวังจากโครงการนำร่องคือการเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน ผ่านระบบไฟส่องสว่างที่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและกล้องวงจรปิดที่ช่วยเฝ้าระวังเหตุการณ์ผิดปกติ นอกจากนี้ ข้อมูลคุณภาพอากาศที่เก็บรวบรวมได้ยังสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อีกด้วย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับต่อคุณภาพชีวิตคนเมือง
หากโครงการประสบความสำเร็จและมีการขยายผลอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในวงกว้างมีหลายประการ:
- ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูงขึ้น: การมีเครือข่ายกล้องวงจรปิดที่ครอบคลุมและระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินที่เข้าถึงง่าย จะช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมและเพิ่มความรวดเร็วในการให้ความช่วยเหลือ
- การเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น: ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ที่ได้จากกล้อง AI สามารถนำไปใช้ในการควบคุมสัญญาณไฟจราจรและวางแผนเส้นทางเลี่ยง เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด
- สภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ: การเฝ้าระวังคุณภาพอากาศทำให้ประชาชนรับรู้ถึงความเสี่ยงและป้องกันตนเองได้ดีขึ้น ขณะที่ภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลเพื่อออกมาตรการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษได้ตรงจุด
- การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ: ระบบไฟ LED อัจฉริยะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของเมืองได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและงบประมาณของภาครัฐ
ประเด็นด้านข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว
แม้ว่าประโยชน์ของเสาไฟอัจฉริยะจะมีมากมาย แต่เทคโนโลยีนี้ก็มาพร้อมกับข้อกังวลที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือเรื่องการรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหัวใจของคำถามที่ว่า “เสาไฟอัจฉริยะกำลังสอดแนมพฤติกรรมคนกรุงฯ หรือไม่?”
กลไกการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
หัวใจของการทำงานที่ชาญฉลาดของ Smart Pole คือ “ข้อมูล” กล้อง CCTV ที่ติดตั้งอยู่ไม่ได้เป็นเพียงกล้องบันทึกภาพธรรมดา แต่เป็น “ดวงตา” ของระบบที่เก็บข้อมูลภาพเคลื่อนไหวของผู้คนและยานพาหนะที่สัญจรผ่านไปมาตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลภาพเหล่านี้จะถูกส่งไปยังระบบคลาวด์ ซึ่งเป็นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ จากนั้นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อสกัดหา “ข้อมูลเชิงลึก” (Insights) ที่มีประโยชน์ เช่น
- การวิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทาง: รูปแบบการสัญจรของผู้คนและยานพาหนะในแต่ละช่วงเวลา
- การระบุความผิดปกติ: การตรวจจับวัตถุต้องสงสัย, การเกิดอุบัติเหตุ, หรือพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่เหตุร้าย
- ข้อมูลประชากรศาสตร์เบื้องต้น: การประมาณจำนวนคนในพื้นที่ ณ เวลาต่างๆ
นอกเหนือจากข้อมูลภาพแล้ว ข้อมูลจากเซ็นเซอร์อื่นๆ เช่น คุณภาพอากาศ หรือการกดปุ่ม SOS ก็จะถูกรวบรวมและนำไปวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อสร้างภาพรวมของสถานการณ์ในพื้นที่นั้นๆ
ข้อกังวลเรื่องการสอดแนม: ความจริงหรือความเข้าใจผิด?
ข้อกังวลหลักของสาธารณชนเกิดจากความสามารถในการเฝ้าระวัง (Surveillance) ของเทคโนโลยีนี้ คำถามที่เกิดขึ้นคือ:
ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมนั้นถูกนำไปใช้อย่างไร? ใครคือผู้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้? และมีหลักประกันอะไรที่จะรับรองได้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อสอดแนม ติดตาม หรือควบคุมพฤติกรรมของประชาชนในทางที่ไม่เหมาะสม?
ความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition) และการวิเคราะห์พฤติกรรมมีความก้าวหน้าไปมาก หากไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่ดีพอ ก็มีความเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานได้ อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลที่เปิดเผยในปัจจุบัน วัตถุประสงค์ของการรวบรวมข้อมูลยังคงจำกัดอยู่เพื่อประโยชน์สาธารณะด้านความปลอดภัยและการบริหารจัดการเมืองเป็นหลัก
ณ ขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีการนำข้อมูลจากเสาไฟอัจฉริยะในกรุงเทพฯ ไปใช้เพื่อการสอดแนมพฤติกรรมรายบุคคลในเชิงลึก หรือมีการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่มิชอบ การทำงานของระบบยังคงเน้นไปที่การวิเคราะห์ภาพรวมของสถานการณ์ เช่น ความหนาแน่นของการจราจร หรือการตรวจจับเหตุการณ์ มากกว่าการติดตามตัวบุคคล
มาตรการจัดการข้อมูลและความโปร่งใสของภาครัฐ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการได้ระบุว่าข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมได้จากเสาไฟอัจฉริยะจะถูกจัดเก็บไว้ในระบบคลาวด์ของสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ การเข้าถึงข้อมูลจะถูกจำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เช่น การปรับปรุงกายภาพของถนนเพื่อลดอุบัติเหตุ หรือการวางกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลความปลอดภัยในจุดเสี่ยง
ความโปร่งใสเป็นกุญแจสำคัญในการลดข้อกังวลดังกล่าว ภาครัฐจำเป็นต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการจัดการข้อมูล (Data Policy) ซึ่งควรรวมถึงประเด็นต่อไปนี้:
- วัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล: ระบุให้ชัดเจนว่าเก็บข้อมูลอะไรบ้าง และเพื่อนำไปใช้ทำอะไร
- ระยะเวลาการจัดเก็บ: กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการเก็บรักษาข้อมูลแต่ละประเภท ก่อนที่จะถูกทำลาย
- สิทธิ์ในการเข้าถึง: กำหนดลำดับชั้นและเงื่อนไขของผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
- มาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: ชี้แจงเกี่ยวกับมาตรการทางเทคนิคเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
กรอบกฎหมาย PDPA กับเทคโนโลยีเฝ้าระวังในที่สาธารณะ
การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทยจะต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลโครงการเสาไฟอัจฉริยะ
พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวข้องอย่างไร?
แม้ว่าภาพถ่ายหรือวิดีโอที่บันทึกบุคคลในที่สาธารณะจะถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล แต่กฎหมาย PDPA ได้มีข้อยกเว้นบางประการสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อการป้องกันและระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล การใช้กล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะจึงสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่ติดตั้งและบริหารจัดการระบบเสาไฟอัจฉริยะในฐานะ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” (Data Controller) ยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักการของ PDPA เช่น:
-
<