ราคาทองพุ่ง! หลังอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล

สารบัญ

สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางได้ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดทองคำ การที่ ราคาทองพุ่ง! หลังอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างสถิติใหม่ในรอบหลายเดือน แต่ยังส่งสัญญาณถึงแนวโน้มที่อาจดำเนินต่อไปหากความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนและผู้ที่สนใจในตลาดทองคำต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ประเด็นสำคัญของสถานการณ์ราคาทองคำ

  • การพุ่งขึ้นของราคาทองคำ: ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือน โดยมีราคาอยู่ที่ 3,442 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568
  • ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก: ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลเป็นตัวกระตุ้นหลัก ทำให้นักลงทุนย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยง
  • การคาดการณ์จากนักวิเคราะห์: มีการประเมินว่าหากสถานการณ์ความขัดแย้งขยายวงกว้างและยืดเยื้อ ราคาทองคำอาจมีโอกาสทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,500-3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
  • บทบาทของธนาคารกลาง: การเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารประชาชนจีน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงและหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้น
  • ความผันผวนในอนาคต: ราคาทองคำในปี 2568 ยังคงมีความอ่อนไหวสูงต่อปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยรวม

วิเคราะห์สถานการณ์: ทำไมราคาทองพุ่งหลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล

การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาทองคำเป็นผลโดยตรงจากความเชื่อมั่นของตลาดที่สั่นคลอนจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางทหาร เมื่อความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนมักจะมองหาสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ดีและมีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น หุ้น หรือสกุลเงิน ซึ่งทองคำได้พิสูจน์ตัวเองในบทบาทนี้มาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์

ความขัดแย้งในตะวันออกกลางในฐานะตัวเร่งปฏิกิริยา

ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลกและเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเปราะบางสูง การเกิดความขัดแย้งในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะระหว่างคู่ขัดแย้งอย่างอิหร่านและอิสราเอล ย่อมสร้างความกังวลว่าจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง (Spillover Effect) ไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานพลังงาน และสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลกได้

ความกังวลดังกล่าวได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและหันมาซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะสงครามและความไม่แน่นอนทางการเมือง ปฏิกิริยาของตลาดในลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง สะท้อนให้เห็นว่าทองคำยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกมีความตึงเครียด

ทองคำ: สินทรัพย์ปลอดภัยในยามวิกฤต

คุณสมบัติเด่นของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมาจากหลายปัจจัย ประการแรก ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนจริง (Physical Asset) ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสัญญาของรัฐบาลหรือสถาบันการเงินใด ๆ ทำให้มีความน่าเชื่อถือสูงในยามที่ระบบการเงินโลกสั่นคลอน ประการที่สอง ทองคำมีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทั่วโลกในสกุลเงินหลักต่าง ๆ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

นอกจากนี้ ในอดีตที่ผ่านมาราคาทองคำมักจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อตลาดหุ้นตกต่ำหรือค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนมักจะนำเงินมาพักไว้ในทองคำเพื่อรักษามูลค่าของทรัพย์สิน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทองคำจึงกลายเป็น “หลุมหลบภัย” ที่สำคัญทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือสงคราม ดังที่เห็นได้ชัดจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลในปัจจุบัน

ภาพรวมราคาทองคำและตัวเลขที่น่าจับตามอง

ภาพรวมราคาทองคำและตัวเลขที่น่าจับตามอง

ภายหลังเหตุการณ์โจมตี ราคาทองคำได้สร้างความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในตลาดการเงินโลก โดยตัวเลขสถิติและการคาดการณ์ต่าง ๆ เริ่มชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าทองคำกำลังเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนโดยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นหลัก

สถิติราคาทองคำล่าสุดหลังเหตุการณ์โจมตี

ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ระบุว่าราคาทองคำในตลาดโลก (Gold Spot) ได้พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 3,442 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือน การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นการตอบสนองโดยตรงต่อข่าวการโจมตีของอิหร่านต่ออิสราเอล สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตระหนกในตลาดและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

ขณะเดียวกัน ตลาดซื้อขายล่วงหน้าก็มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยสัญญาทองคำล่วงหน้าในตลาดสหรัฐ (Gold Futures) ปรับตัวขึ้น 0.3% สู่ระดับ 3,461.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ การเพิ่มขึ้นของราคาทั้งในตลาดจรและตลาดล่วงหน้าเป็นการยืนยันถึงมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อทิศทางของราคาทองคำในระยะสั้นถึงระยะกลาง

การคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำในอนาคต

นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งเริ่มปรับประมาณการราคาทองคำในปี 2568 ใหม่ โดยมองว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางของราคาในอีกหลายเดือนข้างหน้า มีการคาดการณ์ว่าหากความขัดแย้งไม่คลี่คลายลงในเร็ววันและมีแนวโน้มที่จะขยายวงกว้างออกไปในระดับภูมิภาค อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นไปทดสอบระดับแนวต้านใหม่

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะทะลุระดับ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ และอาจไต่ระดับขึ้นไปถึง 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลยังคงยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทองคำยังคงมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง หากสถานการณ์คลี่คลายลงอย่างรวดเร็วหรือไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ อาจเกิดแรงเทขายทำกำไรซึ่งจะกดดันให้ราคาปรับตัวลดลงได้เช่นกัน นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์อย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการตัดสินใจ

ปัจจัยมหภาคอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อราคาทองคำ

แม้ว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นตัวจุดประกายให้ราคาทองพุ่งขึ้นในครั้งนี้ แต่ในภาพรวมแล้วยังมีปัจจัยมหภาคอื่น ๆ ที่เป็นแรงหนุนและส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย

บทบาทของธนาคารกลางทั่วโลก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางของหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือธนาคารประชาชนจีน (People’s Bank of China) ที่เข้าซื้อทองคำอย่างสม่ำเสมอ การกระทำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายความเสี่ยงของทุนสำรอง ลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงินของประเทศในระยะยาว

ความต้องการทองคำจากภาคธนาคารกลางนี้ถือเป็นอุปสงค์ขนาดใหญ่ที่ช่วยพยุงราคาทองคำไม่ให้ปรับตัวลดลงแรง และในขณะเดียวกันก็เป็นแรงหนุนให้ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้ง่ายเมื่อมีปัจจัยบวกเข้ามากระทบ เช่น สถานการณ์สงครามในปัจจุบัน

นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)

นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ โดยทั่วไปแล้ว ราคาทองคำมักจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ (ซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย) สูงขึ้น นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ส่งผลให้ราคาทองคำถูกกดดัน

ในทางกลับกัน หากเฟดมีท่าทีที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจทองคำมากขึ้น ดังนั้น การติดตามทิศทางนโยบายการเงินของเฟดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำ

ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมก็มีผลต่อราคาทองคำเช่นกัน ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง หนี้สาธารณะของประเทศต่าง ๆ รวมถึงความผันผวนของตลาดการเงิน ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนของตนเอง

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง ทองคำมักจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Hedge against Inflation) และรักษามูลค่าของความมั่งคั่ง (Store of Value) ได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ความต้องการทองคำมักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัว

บทสรุป: ทิศทางราคาทองคำท่ามกลางความตึงเครียด

โดยสรุป ปรากฏการณ์ที่ ราคาทองพุ่ง! หลังอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล เป็นการตอกย้ำถึงบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่สำคัญที่สุดในตลาดการเงินโลก สถานการณ์ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้กลายเป็นปัจจัยเร่งที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นไปอีกหากความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทิศทางของราคาทองคำไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยมหภาคอื่น ๆ เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก และภาพรวมความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ตลาดทองคำในปี 2568 มีความผันผวนสูง การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านและประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำในช่วงเวลานี้