เปิดโผนายพล 68! จับตา ‘บิ๊กทหาร’ คุมกองทัพยุคใหม่
การปรับเปลี่ยนตำแหน่งนายทหารและนายตำรวจระดับสูงเป็นวาระสำคัญที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ เปิดโผนายพล 68! จับตา ‘บิ๊กทหาร’ คุมกองทัพยุคใหม่ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนทิศทางการบริหารงานด้านความมั่นคงของประเทศในอนาคต การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ครอบคลุมตำแหน่งสำคัญในหลายหน่วยงาน ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพไทย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างอำนาจและการดำเนินนโยบายของรัฐบาล
- การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจและทหารประจำปี 2568 ครอบคลุมตำแหน่งว่างจำนวนมาก โดยเฉพาะในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีตำแหน่งระดับ รอง ผบ.ตร. ถึง ผบก. รวมกว่าร้อยตำแหน่ง
- การพิจารณาแต่งตั้งในฝั่งตำรวจมีการยึดหลักอาวุโสผสมผสานกับความรู้ความสามารถ เพื่อจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์
- ในส่วนของกองทัพบก การจัดทำโผทหารมุ่งเน้นการคัดเลือกผู้บังคับบัญชาที่ได้รับความไว้วางใจ เพื่อควบคุมกองกำลังหลักและ 5 กองทัพภาคอย่างมีประสิทธิภาพ
- การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงในยุคใหม่ และขับเคลื่อนนโยบายด้วยวิสัยทัศน์ที่ทันสมัย
- ตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. คนใหม่ เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยและสนับสนุนการบริหารประเทศ
ภาพรวมการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2568
วาระการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลและนายตำรวจระดับสูงประจำปี 2568 ถือเป็นกลไกปกติในการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อทดแทนตำแหน่งผู้ที่เกษียณอายุราชการและเพื่อหมุนเวียนบุคลากรให้เกิดความเหมาะสมตามสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงในปีนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมีตำแหน่งสำคัญว่างลงจำนวนมาก ทั้งในส่วนของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการปรับทัพครั้งใหญ่เพื่อรองรับภารกิจในอนาคต
สำหรับบุคคลที่อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งนั้น โดยทั่วไปจะคัดเลือกจากนายทหารและนายตำรวจที่มีผลงานโดดเด่น มีความอาวุโสตามลำดับ และเป็นที่ยอมรับภายในองค์กร กระบวนการคัดเลือกและจัดทำบัญชีรายชื่อ หรือที่เรียกกันว่า “โผ” จะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน ก่อนจะนำเสนอให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดและนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลให้ความเห็นชอบ และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ดังนั้น การโยกย้ายนายพล 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่ยังสะท้อนถึงดุลอำนาจและความไว้วางใจของผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศอีกด้วย
ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในปี 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งมากที่สุด โดยมีตำแหน่งระดับนายพลตำรวจว่างลงเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ไปจนถึงผู้บังคับการ (ผบก.) การแต่งตั้งครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาของทุกฝ่าย เนื่องจากจะส่งผลต่อการบังคับใช้กฎหมายและการดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยตรง
การปรับโครงสร้างกำลังพลในสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและปรับองค์กรให้ทันต่อรูปแบบอาชญากรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล
ตำแหน่งว่างและการพิจารณาตามหลักอาวุโส
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มีตำแหน่งนายพลตำรวจที่ว่างลงและรอการแต่งตั้งทดแทนจำนวนมาก ประกอบด้วย:
- รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.): 2 ตำแหน่ง
- ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.): 7 ตำแหน่ง
- ผู้บัญชาการ (ผบช.): 16 ตำแหน่ง
- รองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.): 40 ตำแหน่ง
- ผู้บังคับการ (ผบก.): 71 ตำแหน่ง
กระบวนการพิจารณาแต่งตั้งนายตำรวจระดับสูงในครั้งนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับตามอาวุโสเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการพิจารณาความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง โดยเฉพาะในหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด
รายชื่อนายพลตำรวจคนสำคัญที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ
ในการแต่งตั้งครั้งนี้ มีนายตำรวจหลายนายที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ:
- พล.ต.ท.สำราญ นวลมา: ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจาก ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นตำแหน่งรองสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ถือเป็นการตอบแทนผลงานและความสามารถที่ผ่านมา
- พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์: ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง จเรตำรวจแห่งชาติ (จชต.) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญในการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ
การเลื่อนตำแหน่งของนายตำรวจทั้งสองนายและอีกหลายท่านในบัญชีรายชื่อ แสดงให้เห็นถึงแนวทางการบริหารงานบุคคลที่มุ่งเน้นการคัดสรรผู้ที่มีความเหมาะสมทั้งในด้านอาวุโสและฝีมือ เพื่อนำพองค์กรตำรวจไปสู่การเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง
การสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค
นอกจากการเลื่อนตำแหน่งขึ้นสู่ระดับสูงแล้ว การโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งในระดับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค (ผบช.ภ.) ก็เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สำคัญ เนื่องจากตำแหน่งนี้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ การสับเปลี่ยนตัวบุคคลในตำแหน่งนี้จึงมักถูกมองว่าเป็นการจัดทัพเพื่อรับมือกับปัญหาอาชญากรรมและสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่
ตัวอย่างการโยกย้ายที่น่าจับตา ได้แก่:
- พล.ต.ท.วัชรพล ยี่จีน: ย้ายจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ไปดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) ซึ่งดูแลพื้นที่ปริมณฑลและจังหวัดภาคกลางที่สำคัญ
- พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐ์พงษ์: ย้ายจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) ไปดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในภาคตะวันออก
การโยกย้ายในลักษณะนี้เป็นไปเพื่อหมุนเวียนประสบการณ์และนำความสามารถของผู้บัญชาการแต่ละนายไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนอัตรากำลังที่มีผลต่อการบริหารและการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยรวม
โผทหาร 2568: การจัดทัพคุมกำลังหลักของกองทัพบก
ในส่วนของกองทัพไทย โดยเฉพาะกองทัพบกซึ่งเป็นเหล่าทัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุด การจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร หรือ “โผทหาร” เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนเสมอมา เนื่องจากผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และผู้บังคับบัญชาระดับสูงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ การแต่งตั้ง ผบ.ทบ. คนใหม่ และแม่ทัพภาคจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปรับทัพครั้งนี้
ประเด็น | สำนักงานตำรวจแห่งชาติ | กองทัพบก |
---|---|---|
จำนวนตำแหน่ง | มีตำแหน่งว่างจำนวนมากในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ รอง ผบ.ตร. จนถึง ผบก. (มากกว่า 68 ตำแหน่ง) | เน้นการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงและตำแหน่งคุมกำลังหลัก |
หลักการพิจารณา | ผสมผสานระหว่างลำดับอาวุโสและความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่ง | เน้นการคัดเลือกบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจและเป็นที่ยอมรับภายในกองทัพ |
ตำแหน่งสำคัญที่น่าจับตา | รอง ผบ.ตร., ผู้ช่วย ผบ.ตร., จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 | ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.), ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และแม่ทัพภาคที่ 1-4 |
เป้าหมายหลัก | ปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและบริการประชาชน | ควบคุมกองทัพยุคใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคง |
เป้าหมายในการควบคุมกองทัพยุคใหม่
การจัดโผทหารในกองทัพบกครั้งนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างกองทัพยุคใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพและความพร้อมรบ สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งภัยคุกคามรูปแบบเดิมและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น ภัยไซเบอร์ หรือสถานการณ์โรคระบาด การคัดเลือกผู้บังคับบัญชาจึงไม่ได้มองเพียงแค่ความสามารถทางการรบ แต่ยังรวมถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการองค์กรและการพัฒนาศักยภาพกำลังพลให้ทันสมัย
นอกจากนี้ การสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากกำลังพลภายในกองทัพก็เป็นปัจจัยสำคัญ ผู้บังคับบัญชาที่ได้รับการเสนอชื่อจึงมักเป็นผู้ที่เติบโตมาในสายกำลังรบหลักและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนทหาร ซึ่งจะช่วยให้การสั่งการและการควบคุมกองทัพเป็นไปอย่างมีเอกภาพและราบรื่น
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนใหม่ และ 5 ทัพภาค
ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในการแต่งตั้งของกองทัพบกคือ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งมีอำนาจในการควบคุมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ของกองทัพ การพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ทบ. คนใหม่ จึงเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยจะคัดเลือกจากนายทหารระดับ “5 ฉลากองทัพบก” หรือนายทหารระดับพลเอกที่มีโอกาสขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งแม่ทัพภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากเป็นผู้ควบคุมกำลังรบในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ
- กองทัพภาคที่ 1: รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานคร ถือเป็นหน่วยคุมกำลังหลักที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจการปกครอง
- กองทัพภาคที่ 2: รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- กองทัพภาคที่ 3: รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ
การจัดลำดับและเสนอชื่อผู้บังคับบัญชาในตำแหน่งเหล่านี้จึงเป็นการวางตัวบุคคลที่ได้รับความนิยมและไว้วางใจจากคนในกองทัพ เพื่อให้การบริหารจัดการกองทัพเป็นไปอย่างราบรื่นและมีเสถียรภาพ
นัยสำคัญของการปรับโครงสร้างกองทัพและตำรวจ
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพและตำรวจไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรับมือกับสภาพปัญหาและความท้าทายใหม่ๆ ทั้งในมิติของความมั่นคงภายในประเทศและสถานการณ์ระหว่างประเทศ
การรับมือความท้าทายด้านความมั่นคง
โลกปัจจุบันเผชิญกับภัยคุกคามที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น การปรับเปลี่ยนผู้นำหน่วยงานความมั่นคงจึงมีความจำเป็นเพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ผู้นำยุคใหม่จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เข้าใจเทคโนโลยี และสามารถบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหายาเสพติด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน
การขับเคลื่อนองค์กรด้วยวิสัยทัศน์ใหม่
นายพลตำรวจและ ‘บิ๊กทหาร’ ที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและบริหารกำลังคนให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่ง จะช่วยยกระดับมาตรฐานการทำงานของทั้งกองทัพและตำรวจให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนและนานาชาติมากยิ่งขึ้น ผู้นำใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจคาดว่าจะสามารถนำพาองค์กรก้าวข้ามความท้าทายและสร้างเสถียรภาพให้แก่ประเทศได้อย่างยั่งยืน
บทสรุปและทิศทางในอนาคต
โดยสรุป การเปิดโผนายพล 68 และการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารตำรวจประจำปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการจัดทัพของหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งมีตำแหน่งว่างจำนวนมาก สะท้อนถึงความพยายามในการปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ขณะที่การจัดโผทหารในกองทัพบกมุ่งเน้นการคัดเลือกผู้นำที่ได้รับความไว้วางใจเพื่อควบคุมกองทัพยุคใหม่ให้พร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์
ผู้นำทัพและนายพลตำรวจที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในครั้งนี้ จะเป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กรในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งผลลัพธ์ของการบริหารงานของพวกเขาจะส่งผลโดยตรงต่อความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติโดยรวม การติดตามความเคลื่อนไหวและผลงานของผู้นำเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง