เปิดโผนายพล 68! จับตา ‘บิ๊กทหาร’ คุมกองทัพยุคใหม่
การปรับเปลี่ยนตำแหน่งนายทหารและตำรวจระดับสูงเป็นวาระสำคัญที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางการบริหารและความมั่นคงของประเทศ การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจประจำปี 2568 ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการจัดทัพครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจและการบังคับบัญชาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง
ประเด็นสำคัญที่ควรทราบ
- การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจปี 2568 ครอบคลุมตำแหน่งสำคัญกว่า 250 ตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) จนถึงผู้บังคับการ (ผบก.)
- ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง จะถูกแทนที่โดยผู้ช่วย ผบ.ตร. ตามลำดับอาวุโส 100% ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา เป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดในลำดับ
- มีการสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบช.) ในหลายกองบัญชาการที่สำคัญทั่วประเทศ เช่น กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ
- กระบวนการแต่งตั้งครั้งนี้เกิดประเด็นถกเถียงในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เกี่ยวกับหลักความเป็นธรรม ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายภายในองค์กร
- ผลลัพธ์ของการแต่งตั้งครั้งนี้จะกำหนดทิศทางการบริหารงานและนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุคต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและการบังคับใช้กฎหมายโดยรวม
บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงรายละเอียดของการเปิดโผนายพล 68! จับตา ‘บิ๊กทหาร’ คุมกองทัพยุคใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นการปรับทัพครั้งสำคัญที่กำหนดอนาคตขององค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสืบทอดตำแหน่งตามวาระ แต่ยังเป็นการวางรากฐานการทำงานและจัดสรรบุคลากรเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงและอาชญากรรมในปัจจุบันและอนาคต การทำความเข้าใจเบื้องหลังและผลกระทบของการแต่งตั้งโยกย้ายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ติดตามสถานการณ์การเมืองและความมั่นคงของไทย
ภาพรวมการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจประจำปี 2568
การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับนายพล วาระประจำปี 2568 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 7/2568 ซึ่งมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบบัญชีรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับสูงจำนวนมากถึงประมาณ 250 ตำแหน่ง
การปรับทัพครั้งนี้ครอบคลุมตำแหน่งในระดับบริหารที่สำคัญหลายระดับชั้น ได้แก่:
- ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.): มีตำแหน่งว่าง 2 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดรองจาก ผบ.ตร. และมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลงานด้านต่างๆ
- ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.): มีการขยับปรับเปลี่ยน 7 ตำแหน่ง เพื่อทดแทนผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไป
- ตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบช.): มีการโยกย้ายและแต่งตั้งใหม่ 16 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งแม่ทัพที่ควบคุมกองบัญชาการต่างๆ ทั่วประเทศ
- ตำแหน่งรองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.): มีการปรับเปลี่ยน 40 ตำแหน่ง
- ตำแหน่งผู้บังคับการ (ผบก.): มีการแต่งตั้งโยกย้ายอีกเป็นจำนวนมากในระดับนี้
การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผลัดใบครั้งสำคัญของวงการสีกากี โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเกษียณอายุราชการของนายตำรวจระดับสูงหลายนาย ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการเลื่อนตำแหน่งและสับเปลี่ยนบุคลากรในลำดับถัดไปขึ้นมาทดแทน กระบวนการนี้อยู่ภายใต้การกำกับของกฎ ก.ตร. และพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาแต่งตั้ง โดยเฉพาะหลักการเรื่องลำดับอาวุโสและความรู้ความสามารถ
การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจกว่า 250 ตำแหน่งในปี 2568 นับเป็นการจัดทัพครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและทิศทางการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในระยะยาว
ตำแหน่งสำคัญที่น่าจับตามองในการปรับทัพครั้งใหญ่
ในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ มีตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน เนื่องจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งเหล่านี้จะมีบทบาทโดยตรงในการขับเคลื่อนนโยบายและควบคุมหน่วยงานหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เก้าอี้รอง ผบ.ตร. และการเลื่อนตำแหน่งตามหลักอาวุโส
ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ถือเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญสูงสุดในการปรับทัพครั้งนี้ โดยมีตำแหน่งว่างลง 2 ตำแหน่ง เนื่องจากการเกษียณอายุราชการของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง และ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข ซึ่งทั้งสองท่านเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรมาอย่างยาวนาน
ตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. จะต้องพิจารณาจากผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่มีลำดับอาวุโสสูงสุดเป็นอันดับแรก โดยใช้หลักอาวุโส 100% ในการคัดเลือก ซึ่งในปีนี้ ผู้ที่อยู่ในลำดับอาวุโสสูงสุดคือ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ท่านจึงได้รับการคาดหมายและมีมติให้เลื่อนขึ้นดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. และได้รับการติดยศพลตำรวจเอก (พล.ต.อ.) ตามลำดับขั้น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการยึดมั่นในหลักการอาวุโสเพื่อลดการแทรกแซงทางการเมืองและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ข้าราชการตำรวจที่เติบโตมาตามสายงาน
การสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบช.) ในพื้นที่ยุทธศาสตร์
นอกเหนือจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร. แล้ว การโยกย้ายในระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) หรือ “แม่ทัพภาค” ก็เป็นที่น่าจับตาไม่แพ้กัน เพราะเป็นตำแหน่งที่ควบคุมการปฏิบัติงานในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ การสับเปลี่ยนในตำแหน่งเหล่านี้มีนัยสำคัญต่อการควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมและการดูแลความสงบเรียบร้อยในแต่ละภูมิภาค
รายชื่อนายตำรวจ | ตำแหน่งเดิม | ตำแหน่งใหม่ |
---|---|---|
พล.ต.ท.สยาม บุญสม | ผบช.น. | ผบช.น. (คงเดิม) |
พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน | ผบช.ภ.3 | ผบช.ภ.1 |
พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐ์พงษ์ | ผบช.ภ.4 | ผบช.ภ.2 |
พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย | ผบช.ปส. | ผบช.ภ.4 |
พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง | ผบช.สกพ. | ผบช.ปส. |
พล.ต.ท.พิสิฐ ตันประเสริฐ | ผบช.สกบ. | ผบช.ภ.7 |
จากการโยกย้ายจะเห็นได้ว่ามีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค (บช.ภ.) ที่สำคัญหลายแห่ง เช่น บช.ภ.1 และ บช.ภ.2 ซึ่งเป็นพื้นที่ปริมณฑลและภาคตะวันออกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสูง ขณะที่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ยังคงเป็น พล.ต.ท.สยาม บุญสม ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจในการควบคุมพื้นที่กรุงเทพมหานครต่อไป ส่วนการโยกย้ายในกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ก็เป็นที่น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งล้วนเป็นการวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับภารกิจและความท้าทายในแต่ละพื้นที่
เบื้องลึกวงประชุม ก.ตร.: ความท้าทายและทิศทางในอนาคต
กระบวนการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจในครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด แต่มีประเด็นที่น่าสนใจเกิดขึ้นในที่ประชุม ก.ตร. ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายภายในองค์กรตำรวจที่ต้องเผชิญ
ประเด็นเรื่องความเป็นธรรมและเสียงสะท้อนจากนายตำรวจ
มีรายงานว่าในระหว่างการประชุม ก.ตร. ได้เกิดการถกเถียงในประเด็นเรื่องความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยมีการร้องเรียนจาก พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ซึ่งได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาเพื่อทักท้วงและแสดงความคิดเห็นต่อที่ประชุม แม้ว่ารายละเอียดของการร้องเรียนจะไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าภายในองค์กรตำรวจยังคงมีคำถามเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และความโปร่งใสในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการถกเถียงและแสดงความกังวลในประเด็นดังกล่าว แต่ท้ายที่สุดแล้วกระบวนการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายก็ยังคงดำเนินต่อไปตามวาระที่กำหนดไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของคณะกรรมการในการรักษากระบวนการให้เดินหน้าต่อไปได้ภายใต้กรอบของกฎหมายและระเบียบที่มีอยู่
ความสำคัญของการแต่งตั้งต่อการบริหารงานตำรวจยุคใหม่
การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจชุดใหม่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางการบริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในอนาคต นายตำรวจที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและได้รับมอบหมายให้ดูแลหน่วยงานสำคัญ จะเป็นผู้ที่มีบทบาทหลักในการกำหนดนโยบาย วางแผนยุทธศาสตร์ และนำพาองค์กรไปสู่การเป็น “ตำรวจยุคใหม่” ที่มีประสิทธิภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน
การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมยุคใหม่ เช่น อาชญากรรมทางเทคโนโลยี การค้ายาเสพติดข้ามชาติ และการจัดการปัญหาความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของผู้บังคับบัญชาระดับสูง การจัดทัพครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นการวางรากฐานเพื่ออนาคตขององค์กรตำรวจไทยทั้งหมด
บทสรุป: ทิศทางกองกำลังตำรวจไทยภายใต้การนำทัพชุดใหม่
โดยสรุป การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจประจำปี 2568 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจและการบริหารงานภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การเลื่อนตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ตามหลักอาวุโส 100% ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการยึดมั่นตามหลักการ ขณะที่การสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเป็นการวางตัวบุคคลเพื่อรับมือกับภารกิจที่แตกต่างกันออกไป
แม้จะมีประเด็นความท้าทายเรื่องความเป็นธรรมเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการ แต่ภาพรวมของการจัดทัพครั้งนี้คือการเตรียมความพร้อมขององค์กรตำรวจเพื่อก้าวสู่ยุคใหม่ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญต่างๆ จะต้องเผชิญกับความคาดหวังจากสังคมในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ การติดตามผลงานและการขับเคลื่อนนโยบายของนายพลตำรวจชุดใหม่นี้จึงเป็นสิ่งที่สังคมต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป