รัฐเคาะแล้ว! ภาษีเสื้อผ้า Fast Fashion แพงขึ้นเท่าตัว
รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรการทางภาษีครั้งสำคัญเพื่อจัดการกับผลกระทบของอุตสาหกรรมแฟชั่นแบบด่วน หรือ Fast Fashion โดยการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งผู้บริโภค ผู้นำเข้า และทิศทางของตลาดแฟชั่นในประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา
- การปรับขึ้นภาษีแบบขั้นบันได: รัฐบาลจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าเสื้อผ้า Fast Fashion ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 30% ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
- เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม: นโยบายนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อลดปริมาณขยะสิ่งทอ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการบริโภคเสื้อผ้าที่รวดเร็วและมีอายุการใช้งานสั้น
- ผลกระทบต่อราคา: ผู้บริโภคจะต้องเผชิญกับราคาสินค้าเสื้อผ้า Fast Fashion ที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อ
- สอดคล้องกับทิศทางโลก: มาตรการนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มใช้นโยบายภาษีที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมการนำเข้าและส่งเสริมความยั่งยืน
- โอกาสสำหรับตลาดทางเลือก: การขึ้นภาษีอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดเสื้อผ้ามือสองและแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนในประเทศเติบโตขึ้น
การประกาศจากภาครัฐที่ระบุว่า รัฐเคาะแล้ว! ภาษีเสื้อผ้า Fast Fashion แพงขึ้นเท่าตัว ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง มาตรการดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่มุ่งเป้าโดยตรงไปยังสินค้าเสื้อผ้านำเข้าราคาถูกที่ผลิตและจำหน่ายอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การปรับขึ้นภาษีครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกิดจากอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อโลกมากที่สุด นโยบายใหม่นี้จะส่งผลให้ต้นทุนของสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และอาจเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดค้าปลีกแฟชั่นในประเทศไทยไปอย่างสิ้นเชิง
ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องราคา แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวคิดเรื่องความยั่งยืนกำลังกลายเป็นวาระสำคัญระดับชาติ นโยบายนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับปัญหาขยะจากเสื้อผ้า (Textile Waste) และมลพิษจากกระบวนการผลิต สำหรับผู้บริโภคชาวไทย การปรับตัวต่อราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะเป็นความท้าทาย ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการทบทวนพฤติกรรมการบริโภคและหันมาให้ความสนใจกับทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น เช่น เสื้อผ้ามือสอง หรือการสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เจาะลึกมาตรการภาษี Fast Fashion ใหม่
เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของมาตรการภาษีใหม่อย่างถี่ถ้วน ทั้งในแง่ของอัตราภาษี เงื่อนไขการบังคับใช้ และกลุ่มสินค้าที่อยู่ในขอบข่ายของนโยบายนี้
อัตราภาษีและเงื่อนไขการบังคับใช้
นโยบายภาษีใหม่นี้กำหนดเป้าหมายไปที่สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของแบรนด์ Fast Fashion ในการเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
- สินค้าเป้าหมาย: เสื้อผ้านำเข้าที่มีมูลค่าต่อชิ้นต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26,600 บาท
- การจัดเก็บภาษี: จะเป็นการเก็บภาษีแบบรายชิ้น ไม่ใช่การประเมินจากมูลค่ารวมของสินค้าในหนึ่งการจัดส่ง
- อัตราภาษีแบบขั้นบันได:
- ระยะที่ 1: ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป สินค้าที่เข้าข่ายจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 30% ของมูลค่าสินค้า
- ระยะที่ 2: หลังจากวันที่ 1 มิถุนายน 2568 อัตราภาษีจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของมูลค่าสินค้า
การกำหนดอัตราภาษีที่สูงและบังคับใช้แบบขั้นบันไดนี้ แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ชัดเจนของภาครัฐในการลดแรงจูงใจของการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด
สินค้าประเภทใดบ้างที่เข้าข่าย
แม้ว่าประกาศจะไม่ได้ระบุชื่อแบรนด์โดยตรง แต่คำจำกัดความของ “Fast Fashion” นั้นครอบคลุมสินค้าที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:
- เสื้อผ้าที่ผลิตตามกระแส: สินค้าที่ออกแบบและผลิตออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกับเทรนด์แฟชั่นล่าสุด และมักจะมีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่สั้นมาก
- ราคาเข้าถึงง่าย: สินค้ามีราคาจำหน่ายต่ำเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อบ่อยครั้งและในปริมาณมาก
- คุณภาพวัสดุ: มักผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ซึ่งมีต้นทุนต่ำ แต่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งในกระบวนการผลิตและการย่อยสลาย
- ช่องทางจำหน่าย: ส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์โดยตรงจากผู้ผลิตในต่างประเทศมายังผู้บริโภคในไทย
ดังนั้น สินค้าจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติขนาดใหญ่และแบรนด์ค้าปลีกแฟชั่นระดับโลกที่มีกลยุทธ์การตลาดในลักษณะนี้ จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีใหม่
เป้าหมายหลักของนโยบาย
การตัดสินใจขึ้นภาษีครั้งนี้มีเป้าหมายที่ซับซ้อนและหลากหลายมิติ มากกว่าแค่การเพิ่มรายได้ของรัฐ เป้าหมายหลักสามารถสรุปได้ดังนี้:
- การลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม: เพื่อจัดการกับปัญหาขยะเสื้อผ้าที่ล้นเกินความสามารถในการจัดการ และลดมลพิษจากกระบวนการผลิตและขนส่งสินค้าแฟชั่น
- การส่งเสริมแฟชั่นยั่งยืน (Sustainable Fashion): กระตุ้นให้ผู้บริโภคและตลาดหันมาให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้ยาวนาน และผลิตอย่างมีจริยธรรม
- การสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ: การทำให้สินค้านำเข้าราคาถูกมีราคาสูงขึ้น อาจช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับแบรนด์เสื้อผ้าท้องถิ่นและผู้ผลิตในไทย
- การปรับโครงสร้างการบริโภค: สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการ “ซื้อ-ใช้-ทิ้ง” ไปสู่การบริโภคอย่างไตร่ตรองและรับผิดชอบมากขึ้น
เบื้องหลังการตัดสินใจ: ทำไมต้องขึ้นภาษีเสื้อผ้า Fast Fashion
การปรับขึ้นภาษีอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มา แต่เป็นผลพวงจากวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ประกอบกับทิศทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป
วิกฤตขยะเสื้อผ้าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรม Fast Fashion คือตัวขับเคลื่อนหลักของวัฒนธรรมการบริโภคเกินความจำเป็น โมเดลธุรกิจที่เน้นการผลิตปริมาณมหาศาลในราคาถูกได้สร้างผลกระทบเชิงลบที่ร้ายแรง:
- การใช้ทรัพยากรมหาศาล: การผลิตเสื้อผ้าหนึ่งตัวต้องใช้น้ำในปริมาณมาก โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย นอกจากนี้ยังมีการใช้พลังงานและสารเคมีจำนวนมากในกระบวนการย้อมและผลิต
- การปล่อยก๊าซเรือนกระจก: อุตสาหกรรมแฟชั่นถูกประเมินว่าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ซึ่งมาจากการผลิต การขนส่ง และการจัดการของเสีย
- ปัญหามลพิษไมโครพลาสติก: เสื้อผ้าที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ไนลอน เมื่อถูกซักจะปล่อยเส้นใยพลาสติกขนาดเล็ก (ไมโครพลาสติก) ออกมาปนเปื้อนในแหล่งน้ำและระบบนิเวศ
- ปัญหาขยะล้นโลก: เสื้อผ้า Fast Fashion มีอายุการใช้งานสั้นและถูกทิ้งอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภูเขาขยะสิ่งทอที่ย่อยสลายได้ยาก และสร้างภาระอย่างหนักต่อระบบการจัดการขยะ
อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาษี แต่เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ
นโยบายของไทยสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นต่อสินค้านำเข้าราคาถูก โดยข้อมูลระบุว่า สหรัฐฯ เองก็มีการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้า Fast Fashion เพื่อควบคุมการบริโภคและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
นอกจากนี้ ภายใต้นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่อาจเข้มข้นขึ้นในปี 2568 สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงไทย ในอัตราที่สูงถึง 36% การที่ไทยปรับขึ้นภาษีสินค้า Fast Fashion ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศคู่ค้าสำคัญ จึงอาจมองได้ว่าเป็นการปรับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างสมดุลทางการค้าและตอบสนองต่อแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นภาษี
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งนี้จะส่งแรงกระเพื่อมไปยังทุกภาคส่วนในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมแฟชั่น ตั้งแต่ผู้บริโภครายย่อยไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่
ผลกระทบต่อผู้บริโภค
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือ ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับการซื้อเสื้อผ้าราคาถูกตามกระแสแฟชั่นจะต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้าประเภทเดิม ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังนี้:
- ลดความถี่ในการซื้อ: เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าน้อยลง และเลือกซื้อเฉพาะชิ้นที่จำเป็นหรือชื่นชอบจริงๆ
- มองหาทางเลือกอื่น: ความสนใจในตลาดเสื้อผ้ามือสอง (Thrifting) อาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการเช่าเสื้อผ้า หรือการแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเอง
- หันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพ: ผู้บริโภคบางกลุ่มอาจเปลี่ยนไปลงทุนกับเสื้อผ้าที่มีราคาสูงขึ้น แต่มีคุณภาพดีกว่าและใช้งานได้ยาวนานกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “แฟชั่นยั่งยืน”
ผลกระทบต่อผู้นำเข้าและผู้ประกอบการ
สำหรับผู้นำเข้าและผู้ค้าปลีกที่พึ่งพาสินค้า Fast Fashion จะต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวจะบีบให้ต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ:
- การปรับราคาสินค้า: ผู้ประกอบการจำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้า
- การทบทวนกลยุทธ์การจัดหาสินค้า: อาจมีการลดการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้และหันไปหาสินค้าประเภทอื่น หรือมองหาแหล่งผลิตในประเทศแทน
- ความเสี่ยงด้านสต็อกสินค้า: การสั่งสินค้าเข้ามาในปริมาณมากอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากผู้บริโภคลดการซื้อลงอย่างกะทันหัน
โอกาสของตลาดเสื้อผ้ามือสองและแฟชั่นยั่งยืน
ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส การขึ้นภาษี Fast Fashion อาจเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ตลาดทางเลือกเติบโตอย่างก้าวกระโดด:
- ตลาดเสื้อผ้ามือสอง: จะกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าแฟชั่นในราคาที่จับต้องได้ ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการร้านค้ามือสองทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์
- แบรนด์ท้องถิ่นและแฟชั่นยั่งยืน: แบรนด์ไทยที่เน้นคุณภาพการตัดเย็บ การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลิตอย่างมีจริยธรรม จะมีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น เนื่องจากช่องว่างทางราคาเมื่อเทียบกับสินค้านำเข้าจะลดลง
เปรียบเทียบมาตรการภาษีของไทยกับนโยบายสากล
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น การเปรียบเทียบนโยบายภาษีของไทยกับมาตรการของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายนี้ จะช่วยให้เข้าใจบริบทในระดับนานาชาติได้ดียิ่งขึ้น
ประเด็น | ประเทศไทย (นโยบายใหม่ ปี 2568) | สหรัฐอเมริกา (นโยบายที่เข้มงวดขึ้น) |
---|---|---|
อัตราภาษี | 30% (เริ่ม 2 พ.ค. 68) และ 50% (เริ่ม 1 มิ.ย. 68) | อัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% สำหรับสินค้าจากบางประเทศ |
สินค้าเป้าหมาย | เสื้อผ้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ/ชิ้น | สินค้า Fast Fashion และสินค้านำเข้าจากประเทศเป้าหมายตามนโยบายภาษี |
เป้าหมายหลัก | ลดขยะสิ่งทอ, ส่งเสริมความยั่งยืน, สนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ | ควบคุมการบริโภค, ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ, ตอบโต้ทางการค้า (Reciprocal Tariffs) |
ลักษณะมาตรการ | ภาษีเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Tax) และควบคุมการนำเข้า | ภาษีเพื่อการค้า (Trade Tariff) และปกป้องตลาด |
จากตารางจะเห็นได้ว่า แม้เป้าหมายรายละเอียดจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ทิศทางหลักของทั้งสองประเทศนั้นสอดคล้องกัน คือการใช้เครื่องมือทางภาษีเพื่อควบคุมการไหลบ่าของสินค้าราคาถูกที่สร้างผลกระทบเชิงลบทั้งต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ทางเลือกสำหรับผู้บริโภคในยุคภาษีใหม่
แม้ว่าราคาสินค้าจะสูงขึ้น แต่ผู้บริโภคยังมีทางเลือกมากมายในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ใหม่ของตลาดแฟชั่น โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการแต่งตัวตามสไตล์ที่ชื่นชอบ
การสนับสนุนแฟชั่นยั่งยืนและแบรนด์ท้องถิ่น
แทนที่จะซื้อเสื้อผ้าจำนวนมากในราคาถูก การเปลี่ยนมาลงทุนกับเสื้อผ้าที่มีคุณภาพจากแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ การสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพการตัดเย็บที่ดีกว่า ซึ่งสามารถใช้งานได้ยาวนาน คุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
การวางแผนการซื้ออย่างมีสติ
การปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อการซื้อเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญ การวางแผนการซื้ออย่างรอบคอบจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้:
- เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ: เลือกซื้อเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุคุณภาพดีและมีการออกแบบที่คลาสสิก สามารถใส่ได้หลายโอกาสและไม่ตกยุคง่าย
- สร้างตู้เสื้อผ้าอเนกประสงค์ (Capsule Wardrobe): การมีเสื้อผ้าชิ้นหลักๆ ที่สามารถนำมาผสมผสานกันได้หลากหลายสไตล์ จะช่วยลดความจำเป็นในการซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ บ่อยครั้ง
- ดูแลรักษาเสื้อผ้า: การซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ชำรุดแทนการทิ้งและการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้าได้
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
การที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีเสื้อผ้า Fast Fashion แพงขึ้นเท่าตัว ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นในประเทศไทย มาตรการนี้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ชัดเจนในการต่อสู้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการบริโภคเกินพอดี แม้ในระยะสั้นอาจสร้างความท้าทายให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการในแง่ของต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ในระยะยาวคาดว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกหลายประการ
แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่า ตลาดแฟชั่นจะเคลื่อนตัวไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น ผู้บริโภคจะตระหนักถึงต้นทุนที่แท้จริงของเสื้อผ้าที่สวมใส่ ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และโมเดลธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันสร้างระบบนิเวศแฟชั่นที่ดีกว่าเดิม ซึ่งความสวยงามไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่บนรันเวย์ แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบต่อโลกที่อาศัยอยู่อีกด้วย