น้ำท่วม 2568! เปิดวิธีขอรับเงินช่วยเหลือ-เยียวยาล่าสุด
สถานการณ์อุทกภัยเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างผลกระทบในวงกว้างต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศ ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจึงได้จัดตั้งมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบภัย บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ น้ำท่วม 2568! เปิดวิธีขอรับเงินช่วยเหลือ-เยียวยาล่าสุด โดยรวบรวมหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ และขั้นตอนการดำเนินการที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
ประเด็นสำคัญที่ควรรู้
- สถานการณ์ล่าสุด: ปี 2568 มีพื้นที่ 5 จังหวัดภาคเหนือได้รับผลกระทบจากอุทกภัยแล้ว ได้แก่ น่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย และตาก ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 79,942 คน
- มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล: มีการอนุมัติวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงจากมาตรการช่วยเหลืออุทกภัยฤดูฝนปี 2567 วงเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 9,000 บาทต่อครัวเรือน สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือมาก่อน
- ช่องทางการตรวจสอบสิทธิ์: ผู้ประสบภัยสามารถตรวจสอบสิทธิ์และสถานะการรับความช่วยเหลือผ่านระบบออนไลน์ที่ภาครัฐจัดเตรียมไว้ โดยใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
- การคาดการณ์แนวโน้ม: สถาบันวิจัยคาดการณ์ว่าปี 2568 มีความเสี่ยงอุทกภัยสูงกว่าปกติ โดยคาดว่าจะมีพื้นที่ได้รับผลกระทบราว 9.5 ล้านไร่ และอาจสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
- หน่วยงานหลัก: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงาน สำรวจความเสียหาย และบริหารจัดการการจ่ายเงินเยียวยา
สถานการณ์อุทกภัยในปี 2568 เริ่มส่งสัญญาณความรุนแรงตั้งแต่ช่วงต้นของฤดูฝน โดยมีรายงานผลกระทบในหลายจังหวัด ซึ่งหน่วยงานภาครัฐได้เริ่มดำเนินการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมทั้งเตรียมมาตรการเยียวยาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และขั้นตอนการขอรับความช่วยเหลือจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้สามารถรักษาสิทธิ์และได้รับการชดเชยความเสียหายอย่างเหมาะสม
ภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยปี 2568 และแนวโน้มความรุนแรง
การเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์น้ำท่วมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการวางแผนรับมือและให้ความช่วยเหลือ ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและสถาบันวิจัยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวล ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมจากทุกภาคส่วน
พื้นที่ประสบภัยและผลกระทบในระยะแรก
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 17 กันยายน 2568 พบว่าสถานการณ์น้ำท่วมได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ประกอบด้วยจังหวัดน่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย และตาก ภัยพิบัติดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากถึง 79,942 คนต้องเผชิญกับความยากลำบาก บ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมจมอยู่ใต้น้ำ เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดในบางพื้นที่ ซึ่งสร้างอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตประจำวันและการเข้าถึงบริการที่จำเป็น
ในเบื้องต้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าสำรวจความเสียหายอย่างละเอียด เพื่อประเมินมูลค่าความสูญเสียและรวบรวมข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือในขั้นตอนต่อไป พร้อมกันนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวและระดมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการอพยพ ขนย้ายสิ่งของ และแจกจ่ายถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
การคาดการณ์จากสถาบันวิจัยและปัจจัยเสี่ยง
นอกเหนือจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว รายงานการวิจัยจากธนาคารกรุงศรีอยุธยายังได้นำเสนอภาพการคาดการณ์ที่น่ากังวลสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 โดยระบุว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับอุทกภัยที่รุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ปัจจัยสำคัญมาจากการคาดการณ์ปริมาณฝนที่จะตกหนักกว่าค่าเฉลี่ยระหว่าง 13.0% ถึง 22.0% โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มักเกิดพายุหมุนเขตร้อนพัดผ่าน
ผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณคาดว่า พื้นที่ที่อาจประสบอุทกภัยอาจมีขนาดใหญ่ถึง 9.5 ล้านไร่ทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตรกรรมและภาคครัวเรือน ตัวเลขประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจบ่งชี้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ โดยคาดว่าความเสียหายต่อทรัพย์สินอาจสูงถึง 3.7 พันล้านบาท ในขณะที่ความเสียหายต่อสินค้าเกษตรอาจมีมูลค่าสูงถึง 1.99 หมื่นล้านบาท
การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปลายปี 2568 เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งที่อาจเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง
หลักเกณฑ์และมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภาครัฐ
เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้กำหนดกรอบและหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยไว้อย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นให้การเยียวยาเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
ใครมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาน้ำท่วมบ้าง
คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ จะต้องเป็นครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย หรือเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ
- เป็นผู้ประสบภัยจริง: ต้องมีหลักฐานยืนยันว่าที่อยู่อาศัยหลักได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมจริง เช่น บ้านถูกน้ำท่วมขัง หรือทรัพย์สินภายในบ้านได้รับความเสียหาย
- มีชื่อในทะเบียนบ้าน: โดยทั่วไป ผู้ยื่นขอรับสิทธิ์ควรเป็นเจ้าบ้านหรือสมาชิกในครัวเรือนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบ
- ไม่เป็นการรับความช่วยเหลือซ้ำซ้อน: ครัวเรือนที่ยื่นขอรับเงินเยียวยาจะต้องไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือสำหรับเหตุอุทกภัยเดียวกันจากมาตรการอื่นของรัฐบาลมาก่อน เพื่อป้องกันการจ่ายเงินซ้ำซ้อนและกระจายความช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขรายละเอียดอาจมีการปรับเปลี่ยนตามมติคณะรัฐมนตรีหรือประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละสถานการณ์ จึงควรติดตามข้อมูลอย่างเป็นทางการอยู่เสมอ
อัตราเงินช่วยเหลือตามระดับความเสียหาย
วงเงินช่วยเหลือจะถูกกำหนดตามระดับความรุนแรงของผลกระทบที่แต่ละครัวเรือนได้รับ โดยอ้างอิงจากข้อมูลมาตรการช่วยเหลือล่าสุด รัฐบาลได้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยฤดูฝนปี 2567 เพิ่มเติมจำนวน 781.88 ล้านบาท เพื่อจ่ายเยียวยาในอัตรา 9,000 บาทต่อครัวเรือน ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบที่ยังไม่เคยได้รับความช่วยเหลือมาก่อน ซึ่งการจ่ายเงินรอบสุดท้ายได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2568
นอกจากนี้ ในบางกรณีอาจมีการจำแนกอัตราเงินเยียวยาตามระยะเวลาที่น้ำท่วมขังและความเสียหายของตัวบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 5,000 ถึง 10,000 บาทต่อครัวเรือน การประเมินความเสียหายจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจ่ายเงินชดเชยมีความสอดคล้องกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจริง
ระดับความเสียหาย | ลักษณะผลกระทบ | วงเงินช่วยเหลือ (บาทต่อครัวเรือน) |
---|---|---|
เสียหายเล็กน้อย | น้ำท่วมขังที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินเสียหายบางส่วน | ประมาณ 5,000 |
เสียหายปานกลาง | น้ำท่วมขังที่อยู่อาศัยเกิน 7 วัน แต่ไม่ถึง 30 วัน | ประมาณ 7,000 |
เสียหายมาก/มาตรการล่าสุด | น้ำท่วมขังที่อยู่อาศัยเกิน 30 วัน หรือที่อยู่อาศัยเสียหายหนัก | 9,000 (ตามมติล่าสุด) |
กลุ่มจังหวัดเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือ
การให้ความช่วยเหลือจะครอบคลุมจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยตามประกาศของรัฐบาล สำหรับมาตรการช่วยเหลืออุทกภัยฤดูฝนปี 2567 ที่มีการอนุมัติวงเงินเพิ่มเติมนั้น ครอบคลุมผู้ประสบภัยจำนวน 86,876 ครัวเรือน ในพื้นที่ 17 จังหวัด ซึ่งเป็นจังหวัดที่ได้รับการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติในช่วงเวลาก่อนหน้า ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2568 นั้น เมื่อมีการประกาศเขตภัยพิบัติเพิ่มเติมในจังหวัดใด จังหวัดเหล่านั้นก็จะถูกรวมอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามลำดับต่อไป
สรุปขั้นตอนการขอรับเงินเยียวยาและตรวจสอบสิทธิ์
เพื่อให้กระบวนการรับความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ภาครัฐได้พัฒนาระบบออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการยื่นเรื่องและติดตามผล
ช่องทางการลงทะเบียนและติดตามสถานะ
ช่องทางหลักสำหรับประชาชนในการตรวจสอบสิทธิ์และยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือคือผ่านระบบออนไลน์ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำขึ้น โดยอ้างอิงจากระบบที่ใช้สำหรับอุทกภัยปี 2567 คือเว็บไซต์ flood67.disaster.go.th ซึ่งคาดว่าจะเป็นต้นแบบสำหรับระบบในปี 2568 เช่นกัน
ขั้นตอนการใช้งานระบบออนไลน์:
- เข้าสู่เว็บไซต์ทางการ: ผู้ประสบภัยจะต้องเข้าไปยังเว็บไซต์ที่ ปภ. ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับโครงการช่วยเหลือในปีนั้นๆ
- กรอกข้อมูลเพื่อตรวจสอบสิทธิ์: ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักกรอกลงในช่องที่กำหนดเพื่อตรวจสอบสถานะของตนเอง ระบบจะแสดงผลว่ามีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือหรือไม่ หรืออยู่ในขั้นตอนใด
- ยื่นคำร้อง (กรณีที่ยังไม่มีข้อมูล): หากตรวจสอบแล้วไม่พบข้อมูล แต่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริง อาจต้องดำเนินการยื่นคำร้องผ่านหน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลเข้าระบบ
การเตรียมข้อมูลและเอกสารประกอบคำขอ
แม้ว่าระบบออนไลน์จะช่วยลดขั้นตอนด้านเอกสาร แต่การเตรียมข้อมูลและหลักฐานให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญ โดยทั่วไปข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ประกอบการยื่นคำร้อง ได้แก่:
- บัตรประจำตัวประชาชน: เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ยื่นคำร้อง
- ทะเบียนบ้าน: เพื่อยืนยันที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย
- หลักฐานความเสียหาย: ภาพถ่ายของบ้านหรือทรัพย์สินที่ถูกน้ำท่วม ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยประกอบการพิจารณาของเจ้าหน้าที่
- ข้อมูลบัญชีธนาคาร: สำหรับการโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีโดยตรง ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้บัญชีที่ผูกกับบริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ด้วยเลขบัตรประชาชน เพื่อความรวดเร็วและถูกต้อง
กรอบเวลาและกระบวนการอนุมัติ
กระบวนการให้ความช่วยเหลือจะเริ่มต้นหลังจากที่สถานการณ์คลี่คลาย โดยมีขั้นตอนและกรอบเวลาดังนี้
- การสำรวจและบันทึกข้อมูล: เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะลงพื้นที่สำรวจความเสียหายและรวบรวมรายชื่อผู้ประสบภัย
- การตรวจสอบและรับรองข้อมูล: ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังระดับอำเภอและจังหวัดเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและรับรองสิทธิ์
- การเสนอขออนุมัติงบประมาณ: ปภ. จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินช่วยเหลือ
- การจ่ายเงินเยียวยา: หลังจากได้รับอนุมัติ ธนาคารของรัฐ (เช่น ธนาคารออมสิน หรือ ธ.ก.ส.) จะดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีของผู้มีสิทธิ์โดยตรง ซึ่งกรอบเวลาทั้งหมดอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและจำนวนผู้ประสบภัย
หน่วยงานที่รับผิดชอบและช่องทางการติดต่อ
การทราบถึงบทบาทของหน่วยงานต่างๆ จะช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือและข้อมูลได้อย่างถูกช่องทาง
บทบาทหลักของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ถือเป็นหน่วยงานกลางที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการจัดการภัยพิบัติ รวมถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ภารกิจหลักของ ปภ. ประกอบด้วย:
- การประสานงาน: เป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างบูรณาการ
- การสำรวจและประเมินความเสียหาย: กำกับดูแลและรวบรวมผลการสำรวจความเสียหายจากทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนและเสนอขออนุมัติงบประมาณ
- การบริหารจัดการเงินเยียวยา: รับผิดชอบในการพัฒนาระบบตรวจสอบสิทธิ์ออนไลน์ และประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัย
- การให้ข้อมูล: เป็นแหล่งข้อมูลหลักสำหรับประชาชนในการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือและติดตามสถานะของตนเอง
ความร่วมมือกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่น
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล และสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ถือเป็นหน่วยงานด่านแรกที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น การจัดหาที่พักพิงชั่วคราว การแจกจ่ายอาหารและน้ำดื่ม และที่สำคัญที่สุดคือการเป็นผู้รวบรวมข้อมูลผู้ประสบภัยในพื้นที่ของตนเอง เพื่อส่งต่อให้หน่วยงานระดับสูงขึ้นไป ดังนั้น หากประสบปัญหาหรือต้องการยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือ หน่วยงานท้องถิ่นคือจุดแรกที่ควรติดต่อ
แนวทางการเตรียมความพร้อมและรับมือสถานการณ์น้ำท่วม
นอกจากการรอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว การเตรียมความพร้อมของประชาชนเองก็เป็นปัจจัยสำคัญในการลดความสูญเสีย
การเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
การติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรรับฟังประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสื่อสารมวลชนที่เชื่อถือได้ เพื่อประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ของตนเองและเตรียมการอพยพได้ทันท่วงทีหากจำเป็น
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเผชิญเหตุ
- ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง: นำทรัพย์สินมีค่า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเอกสารสำคัญไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยและพ้นจากระดับน้ำ
- ตัดระบบไฟฟ้า: ปิดสวิตช์ไฟหลักของบ้าน (Cut-out) เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจร
- เตรียมเสบียงและของใช้จำเป็น: จัดเตรียมอาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และไฟฉายให้พร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉิน
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่: หากมีการประกาศให้อพยพ ควรรีบปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยของชีวิต
บทสรุปและแนวทางการฟื้นฟู
สถานการณ์ น้ำท่วม 2568 มีแนวโน้มที่จะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีขอรับเงินช่วยเหลือและเยียวยาจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ มาตรการของภาครัฐที่กำหนดวงเงินช่วยเหลือไว้ที่ 9,000 บาทต่อครัวเรือน หรือตามระดับความเสียหาย เป็นกลไกสำคัญในการบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินในเบื้องต้น
กระบวนการขอรับความช่วยเหลือในปัจจุบันเน้นการใช้ระบบออนไลน์เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลส่วนบุคคลและหลักฐานความเสียหายจึงเป็นสิ่งจำเป็น การติดตามประกาศจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ไม่พลาดสิทธิ์และสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามขั้นตอน การตรวจสอบสิทธิ์และปฏิบัติตามแนวทางที่ภาครัฐกำหนดเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้กระบวนการเยียวยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถฟื้นตัวและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด