คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น!


คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น!

สารบัญ

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ความสามารถในการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลได้มาถึงจุดที่น่าทึ่งและน่ากังวลไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสร้างวิดีโอและภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ดูสมจริงจนแทบแยกไม่ออก สิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์

สาระสำคัญที่ต้องจับตา

  • เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถสร้างวิดีโอและภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สมจริงได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้การแยกแยะระหว่างของจริงและของปลอมกลายเป็นเรื่องท้าทาย
  • การตรวจสอบความถูกต้องของสื่อดิจิทัลจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะทางและความรู้ความเข้าใจ เพื่อป้องกันการบิดเบือนหรือสร้าง ประวัติศาสตร์ปลอม ขึ้นมาใหม่
  • AI มีศักยภาพเป็นทั้งเครื่องมือที่มีประโยชน์มหาศาลในการวิเคราะห์และค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอาวุธที่ทรงพลังในการสร้าง ข่าวปลอม และข้อมูลที่บิดเบือน
  • การสร้างความตระหนักรู้และทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในยุคดิจิทัล เพื่อรักษความสมบูรณ์ขององค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์

ความจริงที่น่ากังวล: คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น!

ปรากฏการณ์ที่ คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น! ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ Generative AI ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์สื่อ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะถูกปลอมแปลงได้อย่างแนบเนียน คลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายที่เคยถูกมองว่าเป็นหลักฐานชั้นดีของเหตุการณ์ในอดีต อาจถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดโดย AI ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับเรื่องแต่งเลือนลางลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความท้าทายนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักประวัติศาสตร์ นักวิจัย นักข่าว นักการศึกษา และบุคคลทั่วไปที่เสพสื่อผ่านช่องทางออนไลน์ การขาดความสามารถในการตรวจสอบแหล่งที่มาและความถูกต้องของสื่อ อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอดีต การสร้างความเกลียดชัง หรือแม้กระทั่งการลบล้างความจริงทางประวัติศาสตร์บางอย่างไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงศักยภาพและอันตรายของ AI สร้างวิดีโอ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นข้อมูลข่าวสารในยุคใหม่นี้

เทคโนโลยี AI กับการสร้างสรรค์สื่อประวัติศาสตร์ยุคใหม่

เทคโนโลยี AI กับการสร้างสรรค์สื่อประวัติศาสตร์ยุคใหม่

เทคโนโลยี AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังได้กลายเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ที่ทรงพลังและเข้าถึงง่ายสำหรับคนทั่วไป ความสามารถนี้มีสองด้านที่น่าสนใจเมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์

เครื่องมือ AI ที่เข้าถึงง่ายกับการสร้างเนื้อหา

ในปัจจุบัน มีแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันจำนวนมากที่นำ AI มาช่วยในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทำให้ผู้ใช้งานที่ไม่มีทักษะด้านกราฟิกหรือวิดีโอสามารถสร้างสื่อที่ดูเป็นมืออาชีพได้ ตัวอย่างเช่น เครื่องมือบางอย่างสามารถช่วยสร้างเส้นเวลา (Timeline) แบบอินเทอร์แอคทีฟ หรืออินโฟกราฟิกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ข้อดีของการใช้ AI ในลักษณะนี้คือการทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์มีความน่าสนใจและเข้าถึงง่ายมากขึ้น สามารถใช้เป็นสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพในห้องเรียน หรือใช้ในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย อย่างไรก็ตาม จุดนี้เองก็เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะความง่ายในการสร้างสรรค์หมายถึงความง่ายในการสร้างข้อมูลเท็จด้วยเช่นกัน ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้สร้างเส้นเวลาที่บิดเบือน หรือสร้างภาพประกอบเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพื่อสนับสนุนแนวคิดหรืออุดมการณ์บางอย่าง ซึ่งหากผู้รับสารขาดวิจารณญาณ ก็อาจหลงเชื่อได้โดยง่าย

การปลุกชีวิตบุคคลสำคัญในอดีตด้วย AI

หนึ่งในการประยุกต์ใช้ AI ที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายคือการสร้างภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จากภาพนิ่งหรือรูปปั้น เทคนิคนี้ทำให้สาธารณชนได้เห็นภาพของบุคคลเหล่านั้นในมุมมองที่สมจริงและมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับว่าพวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เทคนิคนี้เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะ เทคโนโลยี และประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้รับชม

แม้ว่าการสร้างแอนิเมชั่นบุคคลในอดีตจะสร้างความตื่นตาตื่นใจ แต่ก็ก่อให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมและการตีความทางประวัติศาสตร์ การแสดงออกทางสีหน้าหรือท่าทางที่ AI สร้างขึ้นนั้นเป็นเพียง “การคาดเดา” จากอัลกอริทึม ซึ่งอาจไม่ตรงกับบุคลิกที่แท้จริงของบุคคลนั้นๆ และอาจนำไปสู่การตีความตัวตนของพวกเขาใหม่ในแบบที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้

ดังนั้น แม้ว่า AI จะเปิดโอกาสให้เกิดการนำเสนอประวัติศาสตร์ในรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ผู้สร้างและผู้เสพสื่อต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในการบิดเบือนและการตีความที่อาจเกิดขึ้น

ความท้าทายในการตรวจสอบความจริงในยุคดิจิทัล

ความสามารถของ AI ในการสร้างสื่อสังเคราะห์ที่สมจริงอย่างเทคโนโลยี Deepfake ได้ยกระดับความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปอีกขั้น ทำให้การแยกแยะระหว่างของจริงและของปลอมกลายเป็นภารกิจที่ซับซ้อนและต้องอาศัยเครื่องมือที่ทันสมัย

Deepfake และเสียงโคลนนิ่ง: ภัยคุกคามต่อความจริงทางประวัติศาสตร์

Deepfake คือเทคนิคการใช้ AI เพื่อสร้างวิดีโอปลอมโดยการสลับใบหน้าของบุคคลหนึ่งไปใส่อีกบุคคลหนึ่ง หรือสร้างภาพเคลื่อนไหวและคำพูดที่บุคคลนั้นไม่เคยพูดหรือทำจริง เทคโนโลยีนี้มีความสมจริงสูงจนยากที่จะจับผิดได้ด้วยตาเปล่า เมื่อนำมาใช้กับบริบททางประวัติศาสตร์ มันสามารถสร้าง “หลักฐาน” ปลอมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เช่น การสร้างวิดีโอที่ผู้นำในอดีตพูดสุนทรพจน์ที่ถูกบิดเบือน หรือการสร้างคลิปเหตุการณ์ที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิด

นอกจากภาพแล้ว เทคโนโลยีเสียงโคลนนิ่ง (Voice Cloning) ยังสามารถเลียนแบบเสียงของบุคคลใดก็ได้จากตัวอย่างเสียงเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถสร้างไฟล์เสียงปลอมที่ดูเหมือนว่าบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์กำลังพูดข้อความที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ การผสมผสานระหว่าง Deepfake และเสียงโคลนนิ่งจึงเป็นเครื่องมือที่อันตรายอย่างยิ่งในการสร้าง ประวัติศาสตร์ปลอม ที่น่าเชื่อถือและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย

ความสำคัญของเครื่องมือตรวจสอบสื่อดิจิทัล

เพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จเหล่านี้ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงทั่วโลกจึงได้พัฒนาและนำเครื่องมือเฉพาะทางเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์สื่อดิจิทัล เครื่องมืออย่าง InVID-WeVerify เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่ช่วยให้นักข่าวและนักวิจัยสามารถตรวจสอบความถูกต้องของวิดีโอและภาพได้อย่างเป็นระบบ เครื่องมือเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ metadata ของไฟล์, ตรวจสอบร่องรอยการตัดต่อ, และเปรียบเทียบภาพกับฐานข้อมูลเพื่อค้นหาว่าภาพหรือวิดีโอนั้นเคยปรากฏที่ไหนมาก่อนหรือไม่

การทำงานของหน่วยงานตรวจสอบความจริง เช่น AFP Fact Check ได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและโปร่งใส การตรวจจับและเปิดโปงสื่อที่สร้างโดย AI ไม่เพียงแต่ช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของ ข่าวปลอม แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้สังคมเห็นถึงอันตรายของเทคโนโลยีเหล่านี้ และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

ตารางเปรียบเทียบการใช้ AI ในบริบททางประวัติศาสตร์
แง่มุมการใช้งาน การใช้งานเชิงสร้างสรรค์ (ประโยชน์) ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (โทษ)
การสร้างเนื้อหา สร้างสื่อการสอนที่น่าสนใจ เช่น เส้นเวลาอินเทอร์แอคทีฟ, การจำลองเหตุการณ์ในอดีต, และการสร้างภาพบุคคลสำคัญให้มีชีวิตชีวา สามารถสร้างหลักฐานปลอม, ข้อมูลบิดเบือน, หรือวิดีโอ Deepfake ของบุคคลในประวัติศาสตร์เพื่อสร้างความเข้าใจผิด
การวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น ภาพถ่ายทางอากาศของแหล่งโบราณคดี เพื่อค้นหารูปแบบหรือข้อมูลเชิงลึกที่มนุษย์มองข้าม หาก AI ถูกฝึกด้วยข้อมูลที่ลำเอียงหรือไม่สมบูรณ์ อาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด หรือการตีความประวัติศาสตร์ที่คลาดเคลื่อน
การตรวจสอบสื่อ พัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยตรวจจับวิดีโอและภาพที่ถูกตัดต่อหรือสร้างขึ้นโดย AI เพื่อต่อสู้กับข่าวปลอม เทคโนโลยีการสร้างสื่อปลอมมักพัฒนาเร็วกว่าเทคโนโลยีการตรวจจับ ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่มีที่สิ้นสุดและยังคงมีความเสี่ยงอยู่เสมอ

AI ในฐานะผู้ช่วยนักประวัติศาสตร์: โอกาสและความเสี่ยง

ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญ เทคโนโลยี AI ก็มีศักยภาพอันมหาศาลในการเป็นเครื่องมือช่วยวิจัยและไขปริศนาทางประวัติศาสตร์ที่มนุษย์อาจไม่สามารถทำได้โดยลำพัง อย่างไรก็ตาม การใช้งานนี้ก็ยังคงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง

การวิเคราะห์ข้อมูลโบราณคดีที่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการนำ AI มาใช้วิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมของแหล่งโบราณคดี เช่น กรณีการศึกษาลายเส้นนาสกาในเปรู ซึ่งเป็นภาพวาดขนาดมหึมาบนพื้นดินที่มองเห็นได้ชัดเจนจากที่สูงเท่านั้น AI สามารถประมวลผลภาพถ่ายจำนวนมากและตรวจจับรูปแบบหรือลายเส้นใหม่ๆ ที่นักโบราณคดีอาจมองข้ามไปเนื่องจากข้อจำกัดทางสายตาหรือปริมาณข้อมูลที่ต้องตรวจสอบ

ความสามารถของ Machine Learning ในการจดจำรูปแบบ (Pattern Recognition) ช่วยให้นักวิจัยสามารถค้นพบแหล่งโบราณสถานใหม่ๆ, วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ในอดีต, หรือแม้กระทั่งถอดรหัสเอกสารโบราณที่เสียหายได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม สิ่งนี้ถือเป็นการเปิดพรมแดนใหม่ให้กับการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ช่วยปกป้องและทำความเข้าใจมรดกโลกได้ดียิ่งขึ้น

ดาบสองคมของการใช้ AI ในการวิจัย

แม้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลัง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพและความเที่ยงตรงของข้อมูลที่ใช้ในการฝึกฝน (Training Data) หาก AI ถูกฝึกด้วยชุดข้อมูลที่มีความลำเอียง (Bias) หรือไม่ครบถ้วน ก็อาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดหรือการตีความประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนได้

ดังนั้น ความเสี่ยงที่สำคัญคือการพึ่งพาผลการวิเคราะห์จาก AI มากเกินไปโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างรัดกุมจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจำเป็นต้องทำงานร่วมกับ AI ในฐานะ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้ชี้ขาด” ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและผลลัพธ์เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีถูกนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอดีต ไม่ใช่การสร้างความจริงชุดใหม่ที่อาจคลาดเคลื่อน

แนวทางการรับมือและสร้างภูมิคุ้มกันต่อข้อมูลปลอม

เมื่อการสร้างสื่อปลอมทำได้ง่ายขึ้น การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองและสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการรู้เท่าทันสื่อคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในยุคข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้น

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตในสื่อที่สร้างโดย AI

แม้ว่า AI สร้างวิดีโอ จะมีความสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บ่อยครั้งก็ยังคงทิ้งร่องรอยความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้สังเกตได้ การเรียนรู้ที่จะมองหาสัญญาณเหล่านี้สามารถช่วยให้ประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อเบื้องต้นได้:

  • ความผิดปกติของใบหน้าและดวงตา: การกะพริบตาที่ไม่เป็นธรรมชาติ (น้อยหรือถี่เกินไป), การเคลื่อนไหวของริมฝีปากที่ไม่สอดคล้องกับเสียง, หรือรายละเอียดของใบหน้าที่ดูเบลอหรือไม่สมส่วน
  • แสงและเงาที่ไม่สอดคล้องกัน: แสงที่ตกกระทบบนใบหน้าอาจไม่ตรงกับทิศทางของแสงในฉากหลัง หรือเงาที่ปรากฏอาจดูผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
  • รายละเอียดที่พร่ามัวหรือผิดรูป: ในขณะที่ใบหน้าอาจดูคมชัด รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น เส้นผม, ฟัน, หรือพื้นหลังอาจดูเบลอหรือมีลักษณะผิดรูปไป
  • เสียงที่ผิดปกติ: เสียงพูดอาจมีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์, ขาดอารมณ์, หรือมีเสียงรบกวน (Artifacts) ที่ผิดธรรมชาติปะปนอยู่

การสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการตั้งคำถามและตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม

การพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อ

นอกเหนือจากการสังเกตทางเทคนิคแล้ว การสร้างนิสัยการเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประกอบด้วย:

  1. ตรวจสอบแหล่งที่มา: คลิปวิดีโอหรือภาพนั้นมาจากไหน? มาจากสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ, สถาบันวิจัย, หรือมาจากบัญชีผู้ใช้ที่ไม่ระบุตัวตนบนโซเชียลมีเดีย?
  2. ค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง: หากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ลองตรวจสอบจากสำนักข่าวหลายๆ แห่งว่ามีการรายงานตรงกันหรือไม่ การยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวที่หลากหลายช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกได้
  3. ตั้งคำถามกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์: ข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนมักถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์โกรธ, กลัว, หรือตื่นเต้นดีใจอย่างรุนแรง หากพบเนื้อหาลักษณะนี้ ควรหยุดคิดและตรวจสอบให้รอบคอบก่อนจะเชื่อหรือส่งต่อ
  4. ยอมรับว่าอาจถูกหลอกได้: ทุกคนมีโอกาสที่จะหลงเชื่อข้อมูลปลอมได้ การเปิดใจยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขความเข้าใจเมื่อพบข้อเท็จจริงใหม่เป็นทัศนคติที่สำคัญในยุคดิจิทัล

การสร้างสังคมที่รู้เท่าทันสื่อต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งสถาบันการศึกษาที่ต้องบรรจุหลักสูตรนี้เข้าไป, ภาคสื่อสารมวลชนที่ต้องยึดมั่นในจรรยาบรรณ, และตัวบุคคลที่ต้องมีความรับผิดชอบในการเสพและส่งต่อข้อมูล

บทสรุป: อนาคตของประวัติศาสตร์ในยุคปัญญาประดิษฐ์

การมาถึงของเทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างสื่อประวัติศาสตร์ปลอมได้อย่างสมจริง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ท้าทายความเข้าใจเกี่ยวกับ “หลักฐาน” และ “ความจริง” ในอดีต ปรากฏการณ์ที่ คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น! ได้กลายเป็นความจริงที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป

เทคโนโลยีนี้เป็นดาบสองคมที่ด้านหนึ่งสามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการศึกษาและค้นพบทางประวัติศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความสมบูรณ์ขององค์ความรู้หากถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อนาคตของการศึกษาประวัติศาสตร์จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัว, การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, และการสร้างระบบนิเวศของข้อมูลที่ส่งเสริมความจริงและความน่าเชื่อถือ

ดังนั้น การลงทุนในการศึกษาและเครื่องมือเพื่อการรู้เท่าทันสื่อจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้แน่ใจว่าคนรุ่นต่อไปจะยังคงสามารถเข้าถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องและสามารถเรียนรู้จากอดีตได้อย่างแท้จริง ท่ามกลางโลกดิจิทัลที่ความจริงและความเท็จอยู่ใกล้กันเพียงแค่คลิกเดียว