กทม. ใช้โดรน AI ตรวจจับน้ำท่วม แจ้งเตือนล่วงหน้า

สารบัญ

การที่ กทม. ใช้โดรน AI ตรวจจับน้ำท่วม แจ้งเตือนล่วงหน้า นับเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซึ่งเป็นความท้าทายหลักของกรุงเทพมหานครมาอย่างยาวนาน การบูรณาการเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเครือข่ายเซนเซอร์อัจฉริยะ ช่วยยกระดับความสามารถในการเฝ้าระวัง ประเมินสถานการณ์ และแจ้งเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าในอดีต โครงการนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการรับมือกับอุทกภัยจากการตั้งรับเป็นการป้องกันล่วงหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่สามารถใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการเมืองและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน

สรุปประเด็นสำคัญของการใช้เทคโนโลยีป้องกันน้ำท่วม

  • การใช้โดรน AI สำรวจพื้นที่: กรุงเทพมหานครนำร่องใช้ฝูงโดรน AI รุ่น Vilverin VL340 บินสำรวจพื้นที่เสี่ยงและจุดที่เกิดน้ำท่วมขัง เพื่อประเมินสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถระบุพื้นที่วิกฤตและวางแผนการช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  • ระบบ AI และเซนเซอร์อัจฉริยะ: มีการติดตั้งเครือข่ายเซนเซอร์วัดระดับน้ำและปริมาณน้ำฝนกว่า 50 จุดในเขตที่มีความเสี่ยงสูง ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังศูนย์ควบคุมเพื่อให้ AI วิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มการเกิดน้ำท่วมล่วงหน้า
  • การวิเคราะห์ภาพจาก CCTV: เทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้ประมวลผลภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งตามคลองสายหลักและจุดเสี่ยงต่างๆ เพื่อตรวจจับระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดความคลาดเคลื่อนจากการใช้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและเพิ่มความเร็วในการแจ้งเตือน
  • ประสิทธิภาพการแจ้งเตือนล่วงหน้า: การผสานข้อมูลจากทุกแหล่งช่วยให้ระบบสามารถแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้ก่อนที่ระดับน้ำจะถึงจุดวิกฤต ทำให้มีเวลาเตรียมการป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน

กรุงเทพมหานครเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมานานหลายทศวรรษ อันเนื่องมาจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ การขยายตัวของเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น การรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมในอดีตมักเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ซึ่งมักจะล่าช้าและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ตั้งรับ” มาเป็นการ “ป้องกันเชิงรุก” โดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด

โครงการนำร่องในการใช้โดรน AI และระบบเครือข่ายเซนเซอร์อัจฉริยะจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยน้ำท่วมที่มีความแม่นยำและทันท่วงที เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์น้ำได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ระดับน้ำในคลองสายต่างๆ ไปจนถึงพื้นที่ที่เริ่มมีน้ำท่วมขัง ทำให้การตัดสินใจสั่งการและการจัดสรรทรัพยากรเพื่อเข้าช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพสูงสุด

ทำไมเทคโนโลยี AI จึงจำเป็นต่อการจัดการน้ำท่วมในกรุงเทพฯ

ทำไมเทคโนโลยี AI จึงจำเป็นต่อการจัดการน้ำท่วมในกรุงเทพฯ

ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ มีความซับซ้อนสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพึ่งพาวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การสังเกตการณ์ด้วยสายตา หรือการวัดระดับน้ำด้วยไม้บรรทัด มีข้อจำกัดทั้งในด้านความเร็ว ความแม่นยำ และความครอบคลุมของพื้นที่ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทลายข้อจำกัดเหล่านี้ โดยสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลจากหลายแหล่งที่มาได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเซนเซอร์ ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพจากโดรน หรือกล้องวงจรปิด

ความสามารถของ AI ในการเรียนรู้รูปแบบ (Pattern Recognition) จากข้อมูลในอดีต ทำให้มันสามารถพยากรณ์สถานการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ระบบ AI ที่ กทม. นำมาใช้ ได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลสถิติน้ำท่วมย้อนหลังเกือบ 10 ปี ทำให้สามารถทำนายได้ว่าหากมีปริมาณฝนตกลงมาในระดับหนึ่งในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง จะส่งผลให้ระดับน้ำในคลองเพิ่มขึ้นถึงระดับวิกฤตในอีกกี่ชั่วโมงข้างหน้า ซึ่งข้อมูลเชิงลึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากหากใช้การวิเคราะห์โดยมนุษย์เพียงอย่างเดียว การนำ AI มาใช้จึงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังเป็นการสร้างเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจที่ทรงพลังให้กับผู้บริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมอีกด้วย

เทคโนโลยีหลักเบื้องหลังระบบเตือนภัยน้ำท่วมอัจฉริยะ

ระบบการตรวจจับและแจ้งเตือนน้ำท่วมของกรุงเทพมหานครไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีหลายประเภทเข้าด้วยกันเพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการน้ำที่ครอบคลุมและทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว

ฝูงโดรน AI Vilverin VL340: ดวงตาบนท้องฟ้าเพื่อการสำรวจ

หัวใจสำคัญของการสำรวจทางอากาศคือโดรนรุ่น Vilverin VL340 ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและบริษัทเอกชนของไทย โดรนรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจสำรวจและกู้ภัยโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติเด่นคือความสามารถในการบินได้นานและครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง

โดรน Vilverin VL340 ติดตั้งกล้องความละเอียดสูงที่สามารถบันทึกภาพและวิดีโอคุณภาพดีเยี่ยม ทำให้เจ้าหน้าที่ในศูนย์บัญชาการสามารถมองเห็นสถานการณ์จริงในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้โดรนรุ่นนี้แตกต่างคือการติดตั้งระบบ AI ประมวลผลภาพบนตัวเครื่อง (Onboard AI) ซึ่งสามารถวิเคราะห์ภาพที่บันทึกได้แบบเรียลไทม์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น การตรวจจับผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือการประเมินขอบเขตของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีการวางแผนที่จะพัฒนาฟังก์ชันการสร้างแผนที่ 2 มิติ และ 3 มิติ รวมถึงการใช้ข้อมูลแบบจำลองความสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model) เพื่อช่วยในการวางแผนบริหารจัดการมวลน้ำได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ระบบเซนเซอร์อัจฉริยะ: โครงข่ายประสาทสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 กรุงเทพมหานครได้ริเริ่มโครงการนำร่อง “ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการน้ำท่วมด้วย AI” โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ติดตั้งเครือข่ายเซนเซอร์อัจฉริยะ (Smart Sensors) มากกว่า 50 จุด ในเขตที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูง เช่น เขตดินแดง เขตห้วยขวาง และเขตจตุจักร

เครือข่ายเซนเซอร์เหล่านี้เปรียบเสมือนระบบประสาทของเมืองที่คอยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบด้วยเซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน เซนเซอร์วัดระดับน้ำในคลองและท่อระบายน้ำ รวมถึงการดึงข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้เคียง

ข้อมูลทั้งหมดที่เก็บรวบรวมได้จะถูกส่งผ่านเครือข่ายการสื่อสารไปยังศูนย์ควบคุมกลางแบบเรียลไทม์ จากนั้นระบบ AI จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลร่วมกับข้อมูลสถิติในอดีต เพื่อสร้างแบบจำลองการคาดการณ์ (Predictive Model) ที่สามารถทำนายระดับน้ำและโอกาสในการเกิดน้ำท่วมล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เป้าหมายต่อไปของโครงการนี้คือการขยายการติดตั้งเครือข่ายเซนเซอร์ให้ครอบคลุม 15 เขตที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากภายในปี พ.ศ. 2568

การวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV) ด้วย AI

นอกเหนือจากโดรนและเซนเซอร์แล้ว กล้องวงจรปิด (CCTV) ที่มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ยังถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือเฝ้าระวังน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี AI การประมวลผลภาพ (Image Processing) โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ช่วยให้ระบบสามารถวิเคราะห์ภาพวิดีโอจากกล้อง CCTV ที่ติดตั้งอยู่บริเวณริมคลองหรือในจุดเสี่ยง เพื่อตรวจวัดระดับน้ำได้อย่างอัตโนมัติ

วิธีการนี้มีความแม่นยำสูงและสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้กำลังคนในการเฝ้าสังเกตการณ์ ทำให้ลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) และสามารถส่งสัญญาณเตือนได้ทันทีเมื่อระดับน้ำสูงขึ้นถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถือเป็นการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วม

เปรียบเทียบเทคโนโลยีการตรวจจับน้ำท่วมของ กทม.

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของเทคโนโลยีตรวจจับน้ำท่วมที่กรุงเทพมหานครใช้งาน
คุณสมบัติ โดรน AI เครือข่ายเซนเซอร์อัจฉริยะ AI วิเคราะห์ภาพ CCTV
ลักษณะการทำงาน บินสำรวจทางอากาศ ถ่ายภาพและวิดีโอความละเอียดสูง วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์ ติดตั้งเซนเซอร์ในจุดยุทธศาสตร์ เพื่อวัดปริมาณฝนและระดับน้ำตลอด 24 ชั่วโมง ใช้ AI ประมวลผลภาพจากกล้อง CCTV ที่มีอยู่เดิมเพื่อวัดระดับน้ำโดยอัตโนมัติ
ข้อดี ความคล่องตัวสูง เข้าถึงพื้นที่ได้หลากหลาย ประเมินภาพรวมความเสียหายได้ดี ให้ข้อมูลเชิงปริมาณที่แม่นยำ ทำงานต่อเนื่อง เหมาะสำหรับการพยากรณ์ล่วงหน้า ต้นทุนต่ำ (ใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิม) ครอบคลุมพื้นที่กว้าง แจ้งเตือนได้รวดเร็ว
พื้นที่ใช้งานหลัก พื้นที่เกิดเหตุฉับพลัน พื้นที่เข้าถึงยาก และการประเมินความเสียหายหลังเกิดเหตุ จุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก คลองสายหลัก และสถานีสูบน้ำ บริเวณริมคลอง ถนนสายหลัก และพื้นที่ลุ่มต่ำที่มีการติดตั้งกล้อง CCTV
ผลลัพธ์ที่ได้ ภาพรวมสถานการณ์, การระบุผู้ประสบภัย, ข้อมูลขอบเขตพื้นที่น้ำท่วม ข้อมูลระดับน้ำและปริมาณฝนแบบเรียลไทม์, แบบจำลองคาดการณ์น้ำท่วม การแจ้งเตือนระดับน้ำวิกฤตอัตโนมัติ, ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจเปิด/ปิดประตูระบายน้ำ

จากข้อมูลสู่การปฏิบัติ: กลไกการแจ้งเตือนและการรับมือสถานการณ์

ข้อมูลที่รวบรวมและวิเคราะห์โดยระบบ AI ทั้งหมดไม่ได้มีไว้เพื่อการเฝ้าระวังเพียงอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายสูงสุดคือการแปลงข้อมูลเหล่านั้นไปสู่การปฏิบัติที่จับต้องได้ เมื่อระบบ AI ตรวจพบแนวโน้มว่าระดับน้ำในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งกำลังจะสูงถึงจุดวิกฤต หรือคาดการณ์ว่าจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ของกรุงเทพมหานครโดยอัตโนมัติ

จากนั้น ศูนย์บัญชาการจะทำหน้าที่ประสานงานและกระจายข้อมูลต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักการระบายน้ำ สำนักงานเขต และหน่วยบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเครื่องสูบน้ำ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ หรือการวางแผนจัดการจราจร นอกจากนี้ การแจ้งเตือนยังถูกส่งไปยังประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวป้องกันทรัพย์สินหรืออพยพไปยังที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการพยากรณ์ว่าจะมีพายุหรือดีเปรสชันเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย ระบบเตือนภัยล่วงหน้านี้จะยิ่งทวีความสำคัญในการช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ

อนาคตของการป้องกันน้ำท่วมในกรุงเทพฯ: การขยายผลและศักยภาพ

ความสำเร็จของโครงการนำร่องได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี AI และโดรนในการยกระดับการจัดการน้ำท่วม กรุงเทพมหานครจึงมีแผนที่จะขยายผลโครงการนี้ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งกรุงเทพฯ โดยเฉพาะใน 15 เขตที่ถูกจัดว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก การขยายเครือข่ายเซนเซอร์ให้หนาแน่นขึ้นจะทำให้แบบจำลองการคาดการณ์ของ AI มีความแม่นยำสูงขึ้นเรื่อยๆ

ในอนาคต ระบบนี้ยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปได้อีกไกล เช่น การบูรณาการข้อมูลประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ ข้อมูลการพยากรณ์อากาศระยะยาว ข้อมูลสภาพการจราจร หรือแม้กระทั่งข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เพื่อให้การวิเคราะห์สถานการณ์มีความรอบด้านมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี Digital Twin หรือ “ฝาแฝดดิจิทัล” มาใช้สร้างแบบจำลองเสมือนจริงของระบบระบายน้ำทั้งเมือง อาจช่วยให้สามารถทดลองสถานการณ์ต่างๆ (Simulation) เพื่อหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ดีที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้กรุงเทพมหานครสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น

บทสรุป: การผสานเทคโนโลยีเพื่อสร้างเมืองที่พร้อมรับมือภัยพิบัติ

การที่ กทม. ใช้โดรน AI ตรวจจับน้ำท่วม แจ้งเตือนล่วงหน้า ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติของเมืองหลวง การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีโดรนสำรวจ เครือข่ายเซนเซอร์อัจฉริยะ และปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้สร้างระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำและทันท่วงที ช่วยให้การตัดสินใจและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือการช่วยให้ประชาชนสามารถเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดน้ำท่วมได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการบรรเทาผลกระทบและลดความเสียหายได้อย่างมหาศาล โครงการนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเมืองอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นก้าวสำคัญที่นำพากรุงเทพมหานครไปสู่การเป็นเมืองที่ปลอดภัยและพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างยั่งยืน