Easy E-Receipt 2568 กลับมา! ลดหย่อนภาษีเที่ยวปลายปี
มาตรการ Easy E-Receipt 2568 กลับมา! ลดหย่อนภาษีเที่ยวปลายปี ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงต้นปี 2568 โดยมาตรการนี้เปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการที่กำหนดมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระภาษีให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศและสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีกด้วย
ภาพรวมมาตรการ Easy E-Receipt 2568
มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่มุ่งเน้นการเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภาคเอกชน โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรทราบดังนี้
- วงเงินลดหย่อนสูงสุด: ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2568
- ระยะเวลาโครงการ: การซื้อสินค้าหรือรับบริการต้องเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เท่านั้น
- หลักฐานสำคัญ: ต้องได้รับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและสามารถออกเอกสารดังกล่าวได้
- เป้าหมายหลัก: เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ, สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและชุมชน, และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบภาษีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
Easy E-Receipt 2568 คืออะไร และสำคัญอย่างไร
เพื่อทำความเข้าใจมาตรการนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาทั้งในแง่ของคำจำกัดความและเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจที่รัฐบาลตั้งไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการที่นอกเหนือไปจากการลดหย่อนภาษีส่วนบุคคล
คำจำกัดความและวัตถุประสงค์หลัก
Easy E-Receipt 2568 คือมาตรการทางภาษีที่อนุญาตให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัวใจสำคัญของมาตรการนี้คือการกำหนดให้ใช้หลักฐานเป็น “เอกสารอิเล็กทรอนิกส์” เท่านั้น ได้แก่ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)
วัตถุประสงค์หลักของมาตรการนี้มีหลายมิติ:
- การกระตุ้นการบริโภค: สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนนำเงินออกมาใช้จ่ายในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
- การสนับสนุนผู้ประกอบการในระบบ: ส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีความพร้อมด้านระบบภาษีดิจิทัล
- การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล: ผลักดันให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายคุ้นเคยและปรับตัวเข้าสู่การทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลและนโยบายภาครัฐในระยะยาว
เป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในเชิงมหภาค มาตรการ Easy E-Receipt 2568 ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงต้นปีซึ่งมักเป็นช่วงที่การใช้จ่ายชะลอตัวลงหลังเทศกาลปีใหม่ การอัดฉีดเม็ดเงินผ่านการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะส่งผลดีเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก ไปจนถึงภาคบริการต่างๆ ทำให้เกิดการจ้างงานและรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษีให้แก่ประชาชน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัล ซึ่งจะเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของประเทศในอนาคต
เงื่อนไขและผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ
การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีภายใต้มาตรการนี้มีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ชัดเจน ผู้เสียภาษีจึงควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนเพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ใช้สิทธิ์
ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการและใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้คือ ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เท่านั้น ซึ่งรวมถึงพนักงานบริษัท, ผู้ประกอบอาชีพอิสระ, และบุคคลทั่วไปที่มีเงินได้และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ซึ่งหมายความว่าหน่วยภาษีดังกล่าวจะไม่สามารถนำรายจ่ายตามมาตรการนี้มาหักลดหย่อนได้
ข้อกำหนดสำคัญเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของมาตรการนี้คือหลักฐานที่ใช้ในการลดหย่อนภาษีต้องเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ซึ่งได้แก่:
- ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice): เป็นใบกำกับภาษีที่จัดทำขึ้นในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และมีการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ซึ่งออกโดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติจากกรมสรรพากร
- ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt): เป็นใบรับที่ออกโดยผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าหรือบริการบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ยังคงเข้าร่วมมาตรการนี้ได้
เอกสารทั้งสองประเภทจะต้องระบุข้อมูลของผู้ซื้ออย่างครบถ้วนและถูกต้อง ได้แก่ ชื่อ-นามสกุลเต็ม และ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก) ของผู้ใช้สิทธิ์ลดหย่อน หากข้อมูลส่วนนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน จะไม่สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้
รายละเอียดสินค้าและบริการที่เข้าร่วมรายการ
หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ สามารถซื้อสินค้าและบริการประเภทใดได้บ้างเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี คำตอบคือสามารถใช้ได้กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ที่ซื้อจากผู้ประกอบการในระบบ VAT โดยมีรายละเอียดดังนี้
สินค้าและบริการทั่วไปจากผู้ประกอบการ VAT
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันที่ซื้อจากผู้ประกอบการที่สามารถออก e-Tax Invoice ได้ จะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ตัวอย่างเช่น:
- สินค้าอุปโภคบริโภค: ของใช้ในบ้าน, อาหารและเครื่องดื่มจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อ
- สินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง: เสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า, และผลิตภัณฑ์ความงาม
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และไอที: สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, และอุปกรณ์เสริมต่างๆ
- ค่าอาหารและเครื่องดื่ม: การรับประทานอาหารในร้านอาหารหรือโรงแรมที่จดทะเบียน VAT
- ค่าบริการต่างๆ: ค่าบริการนวดสปา, ค่าซ่อมรถ, ค่าบริการฟิตเนส เป็นต้น
สินค้าและบริการที่ได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ
นอกเหนือจากสินค้าทั่วไปแล้ว มาตรการนี้ยังครอบคลุมสินค้าและบริการบางประเภทที่อาจไม่ได้อยู่ในระบบ VAT แต่ภาครัฐต้องการส่งเสริมเป็นพิเศษ โดยผู้ขายจะต้องสามารถออกใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้ ได้แก่:
- หนังสือ, หนังสือพิมพ์, และนิตยสาร: รวมถึงในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เพื่อส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้
- สินค้า OTOP (หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์): สินค้าที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
- สินค้าจากวิสาหกิจชุมชน: สินค้าที่ลงทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร
- สินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคม: สินค้าที่ลงทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ขั้นตอนการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี
เพื่อให้การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้เสียภาษีควรทำความเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การวางแผนก่อนซื้อไปจนถึงการยื่นภาษี
การเตรียมตัวก่อนการใช้จ่าย
ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ควรตรวจสอบกับร้านค้าหรือผู้ให้บริการก่อนว่าสามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้หรือไม่ โดยอาจสังเกตจากสัญลักษณ์ประชาสัมพันธ์ของร้านค้า หรือสอบถามจากพนักงานโดยตรง นอกจากนี้ ควรเตรียมข้อมูลส่วนตัวให้พร้อม คือ ชื่อ-นามสกุล และเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
ขั้นตอนระหว่างการซื้อสินค้าและบริการ
เมื่อชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ จะต้องแจ้งความประสงค์ต่อผู้ขายว่าต้องการใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี พร้อมทั้งให้ข้อมูลชื่อ-นามสกุล และเลขประจำตัวประชาชนที่ถูกต้องแก่พนักงานเพื่อบันทึกลงในระบบ การชำระเงินสามารถทำได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเงินสด, PromptPay, บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต
การจัดเก็บหลักฐานและการยื่นภาษี
โดยทั่วไป ผู้ประกอบการจะจัดส่ง e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ให้ทางอีเมลที่ผู้ซื้อได้ให้ไว้ ดังนั้นควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในเอกสารที่ได้รับทันทีและจัดเก็บไฟล์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นไว้เป็นอย่างดี
เมื่อถึงช่วงเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) สำหรับปีภาษี 2568 (ยื่นในช่วงต้นปี 2569) ให้นำยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เข้าเงื่อนไข (สูงสุด 50,000 บาท) ไปกรอกในช่องรายการลดหย่อน “ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการตามมาตรการของรัฐ” โดยปกติแล้วข้อมูลการใช้จ่ายผ่าน e-Tax Invoice มักจะเชื่อมโยงกับระบบของกรมสรรพากร ทำให้การตรวจสอบสิทธิ์สะดวกขึ้น แต่การเก็บหลักฐานไว้เองยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
คุณสมบัติ | Easy E-Receipt 2568 | ช้อปดีมีคืน (ปี 2566) |
---|---|---|
วงเงินลดหย่อนสูงสุด | 50,000 บาท | 40,000 บาท (30,000 บาทสำหรับใบกำกับภาษีกระดาษ + 10,000 บาทสำหรับ e-Tax Invoice) |
ระยะเวลาโครงการ | 16 ม.ค. 2568 – 28 ก.พ. 2568 | 1 ม.ค. 2566 – 15 ก.พ. 2566 |
ประเภทเอกสารหลักฐาน | e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น | ใบกำกับภาษีเต็มรูป (กระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์) |
สินค้า/บริการที่เข้าร่วม | สินค้า/บริการในระบบ VAT, หนังสือ (รวม E-book), สินค้า OTOP, สินค้าวิสาหกิจชุมชน/เพื่อสังคม | สินค้า/บริการในระบบ VAT, หนังสือ (รวม E-book), สินค้า OTOP |
เป้าหมายหลัก | กระตุ้นเศรษฐกิจ และผลักดันสู่ระบบภาษีดิจิทัลเต็มรูปแบบ | กระตุ้นเศรษฐกิจ และเริ่มส่งเสริมการใช้ e-Tax Invoice |
ประโยชน์และผลกระทบในมิติต่างๆ
มาตรการ Easy E-Receipt 2568 ก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายระดับ ตั้งแต่ผู้เสียภาษีรายบุคคล ผู้ประกอบการ ไปจนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศ
ประโยชน์ต่อผู้เสียภาษี
ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดคือการได้รับเงินคืนภาษีหรือจ่ายภาษีน้อยลงตามฐานภาษีของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น หากบุคคลมีฐานภาษี 15% และใช้จ่ายเต็มวงเงิน 50,000 บาท จะสามารถประหยัดภาษีได้ถึง 7,500 บาท (50,000 x 15%) ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สามารถนำไปใช้จ่ายหรือออมต่อไปได้
ประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและมีความพร้อมด้าน e-Tax Invoice จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีแรงจูงใจที่จะเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ มาตรการยังเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ เร่งปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการจัดการเอกสารและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในระยะยาว
ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมหภาค
การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิต การจ้างงาน และสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ การที่มาตรการนี้เน้นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลการบริโภคที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น สามารถนำไปใช้วิเคราะห์และวางแผนนโยบายเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมและโปร่งใสยิ่งขึ้น
สรุปสาระสำคัญและข้อควรพิจารณา
Easy E-Receipt 2568 เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้วยวงเงินลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาท สำหรับการใช้จ่ายระหว่างวันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องได้รับหลักฐานเป็น e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ควรวางแผนการใช้จ่ายและตรวจสอบความพร้อมของผู้ประกอบการล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับเอกสารที่ถูกต้องสำหรับนำไปยื่นลดหย่อนภาษี มาตรการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์