ททท. เปิดตัว “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” ดัน Soft Power
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้กำหนดทิศทางใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ผ่านการเปิดตัวโครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” ซึ่งเป็นแคมเปญสำคัญที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยชูแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) และใช้พลังของ Soft Power ไทยเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อน
สาระสำคัญของแคมเปญ
- การส่งเสริมความยั่งยืน: โครงการมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม
- การขับเคลื่อนด้วย Soft Power: นำเสนอเสน่ห์ของวัฒนธรรมไทย อาหาร และสินค้าชุมชน เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์และน่าจดจำ
- การดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ: ตั้งเป้าหมายในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบและมีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
- การกระจายรายได้สู่ชุมชน: ส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองและชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ
- กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก: ใช้กลยุทธ์ที่ทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ เช่น แคมเปญ Stylecation เพื่อสร้างกระแสและแรงบันดาลใจในการเดินทาง
ทิศทางใหม่ของการท่องเที่ยวไทย
ในยุคที่กระแสโลกหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไป ททท. เปิดตัว “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” ดัน Soft Power ไม่ใช่เป็นเพียงแค่แคมเปญส่งเสริมการขาย แต่เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ต้องการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และโครงสร้างของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกที่โดดเด่นด้านคุณภาพและความยั่งยืน โครงการนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โรคระบาด และเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคต
เป้าหมายหลักของโครงการคือการเปลี่ยนมุมมองของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จากเดิมที่อาจมุ่งเน้นเพียงความสวยงามของสถานที่ ไปสู่การเดินทางที่สร้างคุณค่าและความหมายมากขึ้น โดยกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของการท่องเที่ยวที่มีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
แกนหลักของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism)
หัวใจสำคัญของโครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” คือการนำหลักการของ Sustainable Tourism หรือ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยอย่างแท้จริง แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ครอบคลุมมิติทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างครบถ้วน
นิยามและความสำคัญ
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คือ รูปแบบการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและเจ้าของพื้นที่ในปัจจุบัน โดยไม่กระทบต่อความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลัง
การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนคือการสร้างสมดุลระหว่าง 3 เสาหลัก ได้แก่ 1) ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคงให้กับชุมชน 2) ความยั่งยืนทางสังคมและวัฒนธรรม ที่เคารพในวิถีชีวิตและมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น และ 3) ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
ความสำคัญของแนวคิดนี้ทวีคูณขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวสมัยใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มที่จะเลือกจุดหมายปลายทางและกิจกรรมที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การปรับตัวสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
แนวปฏิบัติในโครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์”
ททท. ได้แปลงแนวคิดเชิงนามธรรมให้กลายเป็นกิจกรรมและแนวทางที่จับต้องได้ ผ่านการดำเนินงานหลายรูปแบบ เช่น:
- การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว: คัดเลือกและโปรโมตแหล่งท่องเที่ยว ชุมชน และผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น โรงแรมที่ใช้พลังงานสะอาด ชุมชนที่จัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ หรือกิจกรรมท่องเที่ยวที่ไม่รบกวนระบบนิเวศ
- การสร้างจิตสำนึกให้นักท่องเที่ยว: รณรงค์ให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ เช่น การลดการใช้พลาสติก การไม่ทิ้งขยะในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และการเคารพวัฒนธรรมประเพณีของชุมชนที่ไปเยือน
- โครงการเฉพาะทาง: จัดทำแคมเปญย่อยที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์โดยตรง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแคมเปญ “เพื่อทะเลไทย ด้วยใจรักษ์” ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์เรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทยเป็นที่รู้จักในฐานะจุดหมายปลายทางที่สวยงามและมีความรับผิดชอบ
แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสภาพของแหล่งท่องเที่ยวให้คงความสวยงามไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป แต่ยังเป็นการยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวให้มีความหมายและน่าประทับใจยิ่งขึ้น
Soft Power ไทย: พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นอกเหนือจากความยั่งยืน อีกหนึ่งเสาหลักที่โครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” ให้ความสำคัญคือการใช้ Soft Power ไทย เป็นเครื่องมือในการสร้างเสน่ห์และมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว Soft Power หรือ “พลังอ่อน” คือความสามารถในการดึงดูดและสร้างอิทธิพลต่อผู้อื่นโดยไม่ใช้การบังคับ แต่ใช้สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม คุณค่า และนโยบายที่น่าสนใจ
การผนวก Soft Power เข้ากับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว
ททท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำยุทธศาสตร์ Soft Power มาเป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นการนำเสนอสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในระดับสากลมาต่อยอดให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เป้าหมายคือการสร้างการรับรู้และจดจำในหมู่นักท่องเที่ยวว่าประเทศไทยไม่ได้มีดีแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่ยังมีวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและน่าค้นหา
การขับเคลื่อนนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว 5 ด้านของกระทรวงฯ ที่ต้องการให้เศรษฐกิจท่องเที่ยวเติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มอบประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าประทับใจ
มิติของ Soft Power ที่นำเสนอผ่านแคมเปญ
โครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” ได้นำเสนอ Soft Power ของไทยในหลายมิติที่จับต้องได้ ดังนี้:
- อาหาร (Food): อาหารไทยเป็นที่ยอมรับทั่วโลก โครงการได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ผ่านการประชาสัมพันธ์ร้านอาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์ “Thai SELECT” ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพและรสชาติต้นตำรับ การชูจุดเด่นด้านอาหารไม่เพียงแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ชื่นชอบการกิน แต่ยังช่วยส่งเสริมเกษตรกรและผู้ผลิตวัตถุดิบท้องถิ่นอีกด้วย
- วัฒนธรรมและสินค้าชุมชน (Culture & Local Products): แคมเปญเน้นการนำเสนอประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่แท้จริง เช่น การเยี่ยมชมชุมชน การเรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่น และการสนับสนุนสินค้าชุมชนภายใต้แนวคิด “Smart Local” ซึ่งเป็นการนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาพัฒนาให้มีดีไซน์ที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนโดยตรง และทำให้นักท่องเที่ยวได้ของที่ระลึกที่มีคุณค่าและเรื่องราว
- ศิลปะและบันเทิง (Arts & Entertainment): การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มคนรุ่นใหม่มาเป็นสื่อกลางในการสื่อสารเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
กลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ยุคสมัย
เพื่อให้แนวคิดของโครงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ททท. ได้ใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกที่ทันสมัยและสร้างสรรค์
แคมเปญ Stylecation และการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่
หนึ่งในกลยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดคือแคมเปญ “Stylecation” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง “Style” (สไตล์) และ “Vacation” (การพักผ่อน) เพื่อสื่อสารว่าการท่องเที่ยวสามารถสะท้อนไลฟ์สไตล์และความเป็นตัวตนของแต่ละคนได้ แคมเปญนี้ได้ดึงศิลปินชื่อดังอย่าง บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร มาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลสูงในโลกโซเชียลมีเดีย
การเลือกใช้บิวกิ้นและพีพีไม่เพียงแต่สร้างการรับรู้ในวงกว้าง แต่ยังสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้แนวคิดเรื่องการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและการค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจและทันสมัย
การสร้างกระแสผ่านสื่อดิจิทัล
แคมเปญ Stylecation ได้ถูกนำเสนอผ่านรูปแบบคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่ายและเป็นที่นิยมในปัจจุบัน นั่นคือ วิดีโอบล็อก (Vlog) โดยบิวกิ้นและพีพีได้เดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวใน 5 ภูมิภาคของประเทศไทย นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม และกิจกรรมที่น่าสนใจในมุมมองที่สดใหม่และเป็นธรรมชาติ การใช้ Vlog ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเดินทางตามรอยได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ร่วมเดินทางและสัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง
เนื้อหาเหล่านี้ถูกเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทั้ง YouTube, Instagram, Facebook และ TikTok ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมและสร้างกระแสการพูดถึง (Buzz) ในโลกโซเชียลได้อย่างรวดเร็ว
เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง
โครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเพียงแค่การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งหวังผลลัพธ์ในเชิงคุณภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
การเติบโตเชิงคุณภาพและการกระจายรายได้
เป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนผ่านจากการท่องเที่ยวที่เน้นปริมาณ (Mass Tourism) ไปสู่การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพ (Quality Tourism) ซึ่งหมายถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่:
- มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น: นักท่องเที่ยวที่ยอมจ่ายเงินเพื่อประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- มีระยะเวลาพำนักยาวนานขึ้น: การส่งเสริมกิจกรรมที่หลากหลายทำให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาในประเทศนานขึ้น
- มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวที่เข้าใจและเคารพในแนวทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองและชุมชนยังเป็นกลไกสำคัญในการกระจายรายได้ ลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองหลัก และช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
การสร้างภาพลักษณ์สู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก
ในระยะยาว โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างและตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ “จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน” (Sustainable Tourism Destination) ชั้นนำของโลก การผสานจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามเข้ากับพลังของ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ จะทำให้ประเทศไทยมีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่มีคุณค่าและความหมาย ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มั่นคงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
บทสรุป: อนาคตของการท่องเที่ยวไทยที่ยั่งยืน
การเปิดตัวโครงการ “เที่ยวไทยด้วยใจรักษ์” โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แคมเปญนี้เป็นการผสมผสานระหว่างสองแนวคิดที่ทรงพลัง คือ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ Soft Power ไทย เพื่อสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวที่สมดุลและสร้างสรรค์
ด้วยการมุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเคารพในวัฒนธรรมท้องถิ่น การกระจายรายได้สู่ชุมชน และการนำเสนอเสน่ห์ของความเป็นไทยผ่านอาหาร วัฒนธรรม และสินค้าชุมชน โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก การเดินทางครั้งใหม่ของการท่องเที่ยวไทยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้มาเยือน พร้อมกับการดูแลรักษาทรัพยากรอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่สืบไป